สวัสดีค่ะ
วันนี้อิ้มจะพาทุกท่านไปเที่ยวทริปยุโรปกันต่อ
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่อิ้มเที่ยวยุโรป
การเดินทางของอิ้มในทริปยุโรป 18 วัน
ถ้ารวมวันเดินทางจะเป็น 19 วัน
ตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 65 – 12 พฤศจิกายน 65
เที่ยวไปทั้งหมด 5 ประเทศ
สวิตเซอร์แลนด์ ,อิตาลี,เยอรมนี,สโลวีเนีย,ออสเตรีย
ครั้งนี้อิ้มจะพาไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์
ที่เป็นดินแดนในฝันของใครหลายๆ คนรวมถึงตัวอิ้มเองค่ะ
รีวิวนี้อาจจะยาวสักหน่อยนะ
เพราะอิ้มอยากเล่าตั้งแต่เริ่ม
ทริปยุโรปครั้งนี้อิ้มไปกับพี่ๆ ทั้งหมด 8 คน
ซึ่งเดิมทีแพลนเที่ยวมีแค่ 4 ประเทศ
อิตาลี,เยอรมนี,สโลวีเนีย,ออสเตรีย
แต่ด้วยความที่พี่อีกคนอยากไปสวิต
อิ้มเองก็อยากไปด้วย จึงมาคำนวณวันกัน
ไปๆ มาๆ เพิ่มได้แค่ 4 วัน
ลองถามพี่ๆ คนอื่นอีกที สรุปว่ามีไปสวิตกัน 5 คน
พี่ๆ ที่เหลือจะไปรอที่เยอรมัน
คุยกับเพื่อนๆ พี่ๆ หลายคน
เค้าก็บอกว่า ไปสวิตใช้เวลาแค่นั้นน่ะไม่พอหรอก
ต้องอยู่ยาวๆ เพราะแต่ละจุดสวยมากจริงๆ
ด้วยความดื้อรั้น ใจมันอยากไปแล้ว
และเราไม่ได้ต้องการเที่ยวสวิตแบบเต็มรูปแบบ
แต่อยากแค่เพียง ทำความรู้จักสวิต ไว้บ้างเท่านั้น
อิ้มมั่นใจว่า ต้องกลับไปเที่ยวอีกแน่นอน
และแพลนเที่ยวสวิตก็เริ่มต้นขึ้นค่ะ
หลังจากที่ไม่ได้เดินทางไปยุโรปมานาน
ความรู้สึกที่ได้ไปในครั้งนี้
จึงเหมือนเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ตื่นเต้นมาก
อยากแวะ อยากเที่ยว อยากนั่งเครื่องนานๆ
แล้วเราก็มีธุระที่มิวนิกก่อน
ก็เลยต้องเลือกขาไป กรุงเทพฯ – มิวนิก
ตอนจองตั๋วเครื่องบิน ลองดูราคา เวลาต่างๆ
ก็ตกลงเลือกบิน Singapore Airline
ซึ่งจะมีการต่อเครื่อง 1 ครั้ง
จากกรุงเทพฯ ไปลง สิงคโปร์
มีเวลาแวะต่อเครื่อง 5 ชม. 35 นาที
เราก็เที่ยวเลยสิคะ
แต่จะออกไปเที่ยวต้องมีการ ผ่าน ต.ม
หากใครจะออกไปเที่ยว
ก็กรอกรายละเอียดต่างๆ ให้เรียบร้อย
และได้ไม่เสียเวลาในการเดินทางนะ
จุดที่อิ้มออกไปเที่ยว ก็คือจีเวลชางงี
ห้างสรรพสินค้าที่ติดกับสนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์
ห้างนี้จะมี HSBC Rain Vortex
น้ำตกในอาคารสูงถึง 40 เมตร
ที่ใครมาถึงสิงค์โปรแล้วต้องมาถ่ายภาพเช็คอิน
จากนั้นเมื่อมาถึงสิงค์โปรแล้ว
กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง
เราพุ่งตัวไปที่ชั้น B2
ทาน บักกุ้ดเต๋ ชื่อดังร้าน Song Fa
อิ่มอร่อยแล้วก็เตรียมกลับมารอขึ้นเครื่อง
เพื่อเดินทางต่อจากสิงคโปร์ ไปลงที่มิวนิค
ใช้เวลาบินยาวๆ ไปถึง มิวนิกเช้า
เราก็ทำธุระจนเสร็จ
แล้วก็เดินทางจาก มิวนิก ไป สวิตเซอร์แลนด์
ความจริงควรนั่งเครื่องต่อ
แต่เราเลือกเดินทางด้วยรถไฟ
จะได้เห็นภาพสวยๆ ระหว่างการเดินทาง
ถามว่าเสียเวลาไหม บอกเลยว่ามากกกก
แต้ถ้ามีเวลา และเป็นสายชิลอย่างเรา
ก็จะเพลิดเพลินกับวิวสองฝั่งทาง
วิวแต่เมืองที่รถไฟวิ่งผ่าน สวยงามจริงๆ
และการเดินทางใน สวิตเซอร์แลนด์
ก็เริ่มต้นได้สักทีนึงค่ะ ><
อย่างที่บอกไป ว่าอิ้มมีเวลาน้อย
หักลบไปมาเที่ยวได้แค่ 4 วัน
หมดเวลากับการเดินทางไปอีก 1 วัน
เท่ากับจริงๆ แล้วเราเที่ยวได้แค่ 3 วัน
ซึ่งเราได้เที่ยวประมาณนี้ค่ะ
Interlaken , Zermatt , Lauterbrunnen,
Grindelwald, Luzern , Zurich
Day 1 เราเข้าพัก Interlaken ฝั่ง Ost
ที่พักชื่อ Modern Apartment
อยู่ใกล้สถานี Interlaken Ost มากกกก
เป็นที่พักที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่มากลุ่มใหญ่
ไม่ว่าครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อน
เพราะภายในมีห้องนั่งเล่น 1 ห้อง
มีครัวทำอาหาร โต๊ะทานข้าว
ห้องนอน 3 ห้อง และห้องน้ำ 2 ห้อง
ราคาไม่แรง ทำเลดีสุดๆ
เราพักที่นี่ 2 คืนค่ะ
Day 2 เราตื่นเช้าไปเที่ยว Zermatt
ซึ่งเป็นไฮไลต์ของทริปเลย
เราดูพยากรณ์อากาศแล้วว่าวันนี้อากาศดี
จึงให้เวลาที่นี่ทั้งวันเพราะเดินทางไกล
พอไปถึงแล้ว ต้องบอกว่าสวยงามมาก
เหมือนในนิยาย
ตัวเมืองคือน่ารัก เอาจริงๆ ถ้ามีเวลาควรพัก 1 คืน
รอบหน้ามาจะไม่พลาดเลย
จากนั้นอิ้มขึ้นเขามัตเธอร์ฮอห์น (Matterhorn)
สัญลักษณ์ของช็อกโกแลตยี่ห้อดัง Toblerone
ฟ้าเปิด อากาศเป็นใจ
ตอนนั้นเหมือนลอยอยู่บนสวรรค์
ด้านบนคือสวยมาก
สวยแบบ ไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยาย
ใช้เวลาด้านบนอยู่นาน
กว่าจะถ่ายภาพเสร็จจบ
กลับเข้ามาในเมืองก็จวนค่ำ ในเมือง zermmatt
มีร้านช็อกโกแลตเจ้าดัง Läderach
จะบอกว่าอร่อยมากกกกกกก
อิ้มซื้อหมดไป 2,000 กว่าบาท
ทานช็อกโกแลตจนเบาหวานขึ้นตาไปเลยค่ะ 55555
Day 3
เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม
และฝากกระเป๋าไว้ที่สถานี
ช่วงเช้าไปเที่ยวหมู่บ้าน Lauterbrunnen
อยู่ในเมือง Interlaken
ไฮไลท์ก็คือเป็นหมู่บ้านสวยๆ
รายล้อมด้วยเทือกเขาสูง
มีหน้าผาสูงชัน
และน้ำตก Staubbach ที่สูงถึง 300 เมตร
ตอนที่มาถึงเหมือนหลุดมาอยู่ที่ ริเวนเดลล์
สวยมากอีกแล้ววว หลงรักที่นี่มาก
ช่วงบ่าย เราไปเที่ยว Grindelwald ต่อ
ตอนแรกตั้งใจจะไป First Cliff Walk
แต่ช่วงที่อิ้มไปเค้าปิดแล้วจ้า น้ำตาจะไหล
เราเลยทำได้แค่นั่งชิลๆ ทานสเต็กอร่อยๆ
ชมวิวเทือกเขาสวยๆ
จากนั้นก็กลับมาเดินเล่นที่ Interlaken
จุดหมายคือ Hohematte Park
ที่อยู่ด้านหน้าโรงแรม
The VICTORIA-JUNGFRAU Grand Hotel & Spa
โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ที่มีฉากถ่ายทำตอนจบ
ของซีรีส์เกาหลีชื่อดังอย่าง
Crash Landing On You
ปิดท้ายช่วงเย็นด้วยการไป Iseltwald
ตามรอบสหายผู้กอง รีจองฮยอก
เล่นเปียโนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนกลับประเทศ
และเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของ ยุนเซรี
ที่ได้ยินเสียงเปียโนลอยมา
ขณะล่องเรืออยู่กลางทะเลสาบ
ซึ่งสถานที่สหายผู้กองเล่นเปียโน
ก็คือที่ริมทะเลสาบ Lake Brienz
ตั้งอยู่ที่ Iseltwald อันเงียบสงบ
จากนั้นเดินทางไปที่ Luzern
เข้าพักที่ Altstadt Hotel Krone Luzern
Day 4
ตื่นเช้าเที่ยว ลูเซิร์น เมืองเต็มอิ่มไปด้วย
สถาปัตยกรรม สายน้ำ และขุนเขา
อิ้มเดินเที่ยวประมาณครี่งวัน
ชมสะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge)
สะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในโลก
และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์น
เดินเล่นริมทะเลสาบ จิบกาแฟอุ่นๆ
ช่วงครึ่งวันบ่ายเราเดินทางต่อไป
เมืองซูริค (Zurich) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เราฝากกระเป๋าเดินทางไว้
และเดินเล่นบนถนน Bahnhofstrasse
ย่านเมืองเก่า ทาน Cheese Fondue อร่อยๆ
ตอนเย็นชมทะเลสาบซูริค
ชมวิวเมืองมุมสูงยามเย็นที่
สวนสาธารณะลินเดนโฮฟ (Lindenhof Park)
ปิดท้ายทริป สวิตเซอร์แลนด์ ของเราโดยสมบูรณ์
เป็น 4วัน3 คืน ที่อิ้มว่าคุ้มค่ามาก
คิดไม่ผิดเลยค่ะ ที่ตัดสินใจ
ถึงจะมีเวลาน้อย แต่เราก็ได้เที่ยวหลายจุด
เรียกได้ว่าเป็นทริปครั้งแรกที่แสนจะประทับใจ
ยินดีที่ได้รู้จักนะ สวิตเซอร์แลนด์
เราต้องได้เจอกันอีกแน่นอน
การเดินทางในสวิตเซอร์แลนด์
ส่วนตัวอิ้มว่าเดินทางค่อนข้างง่ายและสะดวก
ไม่ว่าจะเป็นรถบัส รถไฟ รถราง
แต่ค่าโดยสาร ราคาต้องบอกเลยว่าสูงมาก
เพราะฉะนั้นเราควรมี Swiss Travel Pass
เป็นบัตรที่ใช้เดินทางโดยรถสาธารณะได้ทุกแบบ
ไม่ว่าจะเป็นรสบัส รถไฟ รถราง เรือ
ใช้ได้ทั่วสวิตเซอร์แลนด์แบบไม่จำกัด
มีให้เลือกตั้งแต่ 3 – 15 วัน
นอกจากนั้นยังใช้เป็นส่วนลด
สำหรับกิจกรรมต่างๆ ส่วนลดค่าขึ้นเขา
ทำให้ชีวิตสะดวกกับการเดินทางมาก
อิ้มจองผ่าน KKday แบบ First Class
เข้าไปดูรายละเอียดกันได้เลยค่ะ
https://bit.ly/3SAOQjs
จองง่าย สะดวกมากกก
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
KKday https://www.facebook.com/KKdayThailand/
และ Rail Europe https://www.facebook.com/raileurope
เอาหล่ะ ใครอยากอ่านรีวิวแบบแน่นๆ
ดูภาพสวยๆ ตามอ่านต่อ ในรีวิวนี้เลยค๊าา
ช่องทางการติดต่อ Psstory
Facebook Page : https://www.facebook.com/psstorytrip
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDbovnzcEgLS-l5NFi1tj3Q
IG : https://www.instagram.com/psstorytrip/
E mail : amim_97@psstorytrip
Tik Tok : https://www.tiktok.com/@psstorytrip
ครั้งนี้อิ้มจะพาไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์
ที่เป็นดินแดนในฝันของใครหลายๆ คนรวมถึงตัวอิ้มเองค่ะ
รีวิวนี้อาจจะยาวสักหน่อยนะ
เพราะอิ้มอยากเล่าตั้งแต่เริ่ม
ทริปยุโรปครั้งนี้อิ้มไปกับพี่ๆ ทั้งหมด 8 คน
ซึ่งเดิมทีแพลนเที่ยวมีแค่ 4 ประเทศ
อิตาลี,เยอรมนี,สโลวีเนีย,ออสเตรีย
แต่ด้วยความที่พี่อีกคนอยากไปสวิต
อิ้มเองก็อยากไปด้วย จึงมาคำนวณวันกัน
ไปๆ มาๆ เพิ่มได้แค่ 4 วัน
ลองถามพี่ๆ คนอื่นอีกที สรุปว่ามีไปสวิตกัน 5 คน
พี่ๆ ที่เหลือจะไปรอที่เยอรมัน
คุยกับเพื่อนๆ พี่ๆ หลายคน
เค้าก็บอกว่า ไปสวิตใช้เวลาแค่นั้นน่ะไม่พอหรอก
ต้องอยู่ยาวๆ เพราะแต่ละจุดสวยมากจริงๆ
ด้วยความดื้อรั้น ใจมันอยากไปแล้ว
และเราไม่ได้ต้องการเที่ยวสวิตแบบเต็มรูปแบบ
แต่อยากแค่เพียง ทำความรู้จักสวิต ไว้บ้างเท่านั้น
อิ้มมั่นใจว่า ต้องกลับไปเที่ยวอีกแน่นอน
และแพลนเที่ยวสวิตก็เริ่มต้นขึ้นค่ะ
หลังจากที่ไม่ได้เดินทางไปยุโรปมานาน
ความรู้สึกที่ได้ไปในครั้งนี้
จึงเหมือนเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ตื่นเต้นมาก
อยากแวะ อยากเที่ยว อยากนั่งเครื่องนานๆ
แล้วเราก็มีธุระที่มิวนิกก่อน
ก็เลยต้องเลือกขาไป กรุงเทพฯ – มิวนิก
ตอนจองตั๋วเครื่องบิน ลองดูราคา เวลาต่างๆ
ก็ตกลงเลือกบิน Singapore Airline
ซึ่งจะมีการต่อเครื่อง 1 ครั้ง
จากกรุงเทพฯ ไปลง สิงคโปร์
และจากสิงคโปร์ ไปลง มิวนิก
ส่วนน้ำหนักกระเป๋าได้คนละ 25 กิโล
เวลาที่เรามาเช็คอิน เค้าจะให้ตั๋ว 2 ใบ
ทั้งเดินทางจากไทย ไปลงสิงคโปร์
และจากสิงคโปร์ไปยังมิวนิก
ตั๋วมีโอกาสหายง่ายมาก ต้องเก็บไว้ให้ดีนะคะก่อนขึ้นเครื่อง อิ้มมีแวะเลาจน์
หาอะไรรองท้อง จากนั้นไฟล์ทก็เริ่มออกเดินทาง
ช่วงที่บินไปสิงคโปร์ ที่นั่งกว้างนั่งสบาย
มีอาหารมาเสิร์ฟ เป็นข้าวผัด
พร้อมขนมหนึ่งชิ้น
ส่วนเครื่องดื่มต่างๆ สั่งทานได้ไม่อั้น
รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยค่ะแว้บเดียวก็บินมาถึงสิงคโปรแล้วค่ะ
มีเวลาแวะต่อเครื่อง 5 ชม. 35 นาที
เราก็เที่ยวเลยสิคะ
แต่จะออกไปเที่ยวต้องมีการ ผ่าน ต.ม
หากใครจะออกไปเที่ยว
ก็กรอกรายละเอียดต่างๆ ให้เรียบร้อย
และได้ไม่เสียเวลาในการเดินทางนะ
จุดที่อิ้มออกไปเที่ยว ก็คือจีเวลชางงี
ห้างสรรพสินค้าที่ติดกับสนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์
ห้างนี้จะมี HSBC Rain Vortex
น้ำตกในอาคารสูงถึง 40 เมตร
ที่ใครมาถึงสิงค์โปรแล้วต้องมาถ่ายภาพเช็คอินจากนั้นเมื่อมาถึงสิงค์โปรแล้ว
กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง
เราพุ่งตัวไปที่ชั้น B2
ทาน บักกุ้ดเต๋ ชื่อดังร้าน Song Faอิ่มอร่อยแล้วก็เตรียมกลับมารอขึ้นเครื่อง
เพื่อเดินทางต่อจากสิงคโปร์ ไปลงที่มิวนิค
มีเสิร์ฟอาหารตอนเช้าให้อีกหนึ่งมื้อ
ของอิ้มเลือกเป็นออมเล็ต
อ้อ อิ้มจะแอบกระซิบว่า ถ้าหิวเวลากลางคืน
สามารถขอมาม่าจากแอร์
หรือเดินมาที่หลังเครื่องได้
จะมีขนม และช็อกโกแล็ต หยิบทานได้ไม่อั้น
ส่วนเครื่องดื่ม มีทุกอย่าง น้ำเปล่า น้ำอัดลม
น้ำผลไม้ ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ทานได้ยาวๆ เลย บินฟูลเซอร์วิสก็จะดีแบบนี้
แต่ติดอย่างเดียว ขามาจากสิงคโปร์
ที่นั่งค่อนข้างแคบ
ยิ่งนั่งข้างๆ ฝรั่งที่เค้าตัวใหญ่ๆ
จะมีความอึดอัดมากระดับนึงเลยค่ะใช้เวลาบินยาวๆ จากสิงคโปร์
ประมาณ 13 ชั่วโมงก็มาถึงมิวนิกช่วงเช้าพอดี
เราก็ทำธุระจนเสร็จ
แล้วก็เดินทางจาก มิวนิก ไป สวิตเซอร์แลนด์
ความจริงควรนั่งเครื่องต่อ
แต่เราเลือกเดินทางด้วยรถไฟ
จะได้เห็นภาพสวยๆ ระหว่างการเดินทาง
ถามว่าเสียเวลาไหม บอกเลยว่ามากกกก
แต้ถ้ามีเวลา และเป็นสายชิลอย่างเรา
ก็จะเพลิดเพลินกับวิวสองฝั่งทาง
วิวแต่เมืองที่รถไฟวิ่งผ่าน สวยงามจริงๆ
และการเดินทางใน สวิตเซอร์แลนด์
ก็เริ่มต้นได้สักทีนึงค่ะ ><อย่างที่บอกไป ว่าอิ้มมีเวลาน้อย
หักลบไปมาเที่ยวได้แค่ 4 วัน
หมดเวลากับการเดินทางไปอีก 1 วัน
เท่ากับจริงๆ แล้วเราเที่ยวได้แค่ 3 วัน
ซึ่งเราได้เที่ยวประมาณนี้ค่ะ
Interlaken , Zermatt , Lauterbrunnen,
Grindelwald, Luzern , Zurichการเดินทางในสวิตเซอร์แลนด์
ส่วนตัวอิ้มว่าเดินทางค่อนข้างง่ายและสะดวก
ไม่ว่าจะเป็นรถบัส รถไฟ รถราง
แต่ค่าโดยสาร ราคาต้องบอกเลยว่าสูงมาก
เพราะฉะนั้นเราควรมี Swiss Travel Pass
Swiss Travel Pass
เป็นบัตรที่ใช้เดินทางโดยรถสาธารณะได้ทุกแบบ
ไม่ว่าจะเป็นรสบัส รถไฟ รถราง เรือ
ใช้ได้ทั่วสวิตเซอร์แลนด์แบบไม่จำกัด
มีให้เลือกตั้งแต่ 3 – 15 วัน
นอกจากนั้นตั๋วใบนี้ยังใช้เข้าชมพิพิธภัณฑ์
ได้อีกไม่ต่ำกว่า 4,000 แห่ง ฟรีอีกด้วย
แต่ถ้าจะขึ้นสู่ยอดเขาต่างๆ
ก็สามารถใช้บัตรนี้เป็นส่วนลดได้
ทั้งรถไฟสายภูเขา กระเช้าไฟฟ้า
หรือเคเบิ้ลคาร์ ก็จะได้รับส่วนลด 25-50%
แค่นี้อิ้มว่าก็คุ้มค่ามากแล้ว
ทำให้ชีวิตสะดวกกับการเดินทางมาก
อิ้มจองผ่าน KKday แบบ First Class
เข้าไปดูรายละเอียดกันได้เลยค่ะ
https://bit.ly/3SAOQjs
จองง่าย สะดวกมากกก
หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
KKday https://www.facebook.com/KKdayThailand/
และ Rail Europe https://www.facebook.com/raileuropeกดที่ลิ้งค์ https://bit.ly/3SAOQjs
เข้ามาจะเจอหน้าตาแบบนี้จะมีทั้งแบบเที่ยวติดต่อกัน
และเที่ยวแบบไม่ติดต่อกัน
เลือกได้เลยว่าจะเดินทางแบบไหนจากนั้นก็เลือกวันที่เดินทาง
เลือกจำนวนวันใช้งาน
และเลือกว่าจะเป็น First – Class หรือ Second – Class
เสร็จแล้วก็เลือกผู้เดินทาง แล้วกดจองระบบจะให้ใส่ชื่อผู้เดินทาง
แค่นั้นลิ้งค์ก็จะพาเราไปหน้าชำระเงิน
แค่นี้ก็เสร็จแล้วค่ะ สะดวกสบายมาก
รอบนี้อิ้มจองแบบ 1st Class
ถามว่าแตกต่างกันยังไง
บอกเลยว่าเป็นเรื่องของความสะดวกสบาย
1st Class : Business Zone
แถวที่นั่ง เป็นแบบ 3 แถว 2+1
คนไม่เยอะ เสียงไม่ดัง
ใครถือบัตรชั้น 1 ถ้าล่องเรือ
สามารถขึ้นชมได้ทั้งชั้นบนและชั้นล่าง
2nd Class : Economy Zone
แถวที่นั่ง เป็นแบบ 4 แถว 2+2
คนค่อนข้างเยอะ
แต่ก็มีความเป็นระเบียบ
หากใครต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย
แนะนำให้ซื้อ 2nd Class
หลังจากที่ได้ลองใช้งานจริง
– 1st Class คือดีมาก ยิ่งเราเป็นนักท่องเที่ยว
จะมีกระเป๋าเดินทาง
โซน 2nd Class จะมีคนเยอะกว่า
ทำให้ไม่สะดวกวางของ
ซึ่ง 1st Class คนจะน้อยกว่า กว้างกว่า
วางของได้สบาย
– นอกจากนั้น หน้าต่างชมวิวก็จะกว้าง
ชมวิวสวยๆ ได้แบบเต็มตา
ส่วนเวลาจะขึ้นรถไฟ
จะรู้ได้ยังไงว่า 1st Class อยู่โบกี้ไหน
ให้ดูจากเลขที่ติดอยู่ตามตู้ของขบวนรถไฟ
จะมีเลข 1 และ 2 ชัดเจน
แต่ 1st Class คนจะน้อยมาก
ซึ่งบางขบวนมีแค่ 1 โบกี้เท่านั้น
อ้าวแล้วถ้าที่ัน่งเต็มล่ะ จะทำยังไง
– 1st Class สามารถไปนั่ง 2nd Class ได้
แต่ 2nd Class มานั่ง 1st Class ไม่ได้
แต่เท่าที่นั่งมา ไม่เคยเจอ 1st Class คนเต็มค่ะ
ส่วนมากก็จะว่างตลอดก่อนจะเดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์
มาดูสิ่งที่ควรรู้ และเตรียมตัวก่อนเดินทางกันดีกว่าค่ะ
1. สวิตเซอร์แลนด์
สวิตเซอร์แลนด์อยู่ระหว่างที่ราบสูงสวิส เทือกเขาแอลป์
พื้นที่มากกว่า 70% เป็นเขตภูเขา คือ เทือกเขาแอลป์
มีแม่น้ำสำคัญ คือ แม่น้ำไรน์ แม่น้ำโรน
แม่น้ำทิซิโน และแม่น้ำอิน
เป็นประเทศขนาดเล็กที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล
และตั้งอยู่ในยุโรปตะวันตก
มีพรมแดนติดกับประเทศเยอรมนี ประเทศฝรั่งเศส
ประเทศอิตาลี ประเทศออสเตรีย
และประเทศลีชเทินชไตน์
มีเมืองหลวงคือกรุงแบร์น
(ฝรั่งเศส: Berne; เยอรมัน: Bern) หรือ เบิร์น
2. เงิน
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ใช้สกุลเงินฟรังก์สวิส (CHF)
เทียบเป็นเงินไทยได้ประมาณ 38 บาท
ซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราค่าเงินขณะนั้น
แบงค์จะมีตั้งแต่ 10, 20, 50, 100, 500, 1,000 ฟรังก์
เงินเหรียญมีมูลค่าตั้งแต่ 5, 10, 20, 50 เซนต์
และ 1, 2, 5 ฟรังก์
แล้วแต่ช่วงเวลา อาจะถูกกว่านี้
หรือมากกว่านี้นิดหน่อย
แต่จะไม่ต่างจากนี้มากเท่าไหร่ค่ะ
ส่วนตัวอิ้มจะคิดง่ายๆ เอาแบบเหลือๆ
40 บาทไทย เท่ากับ 1 ฟรังก์สวิส
400 บาทไทย เท่ากับ 10 ฟรังก์สวิส
4,000 บาทไทย เท่ากับ 100 ฟรังก์สวิส
40,000 บาทไทย เท่ากับ 1,000 ฟรังก์สวิส
แต่หากช็อปปิ้งจนเงินหมด
ไม่มีบัตรเครดิต ไม่ต้องกังวล
หากบัตรคุณมีสัญลักษณ์จำพวก
VISA, MASTER CARD
สามารถกดเงินได้จากตู้เอทีเอ็มได้เลย
สวิตเซอร์แลนด์ มีค่าครองชีพสูง
ทั้งค่าอาหาร เครื่องดื่ม ค่ารถไฟ
ค่าสถานที่ท่องเที่ยว ชอปปิง ฯลฯ
ราคาสูงทุกอย่าง
แต่ความสูงของค่าครองชีพ
ก็แลกมากับความความสะดวกสบาย
อย่างเราไปเที่ยวก็ถือซะว่า
ได้แลกมากับธรรมชาติ
และวิวสุดอลังการ รับรองว่าคุ้มกัยที่จ่ายไปแน่นอน
3. ภาษา
สวิตเซอร์แลนด์ประกอบไปด้วยภูมิภาค
ที่มีความแตกต่างภาษาและวัฒนธรรม
สี่ภูมิภาคหลัก ได้แก่ ภาษาเยอรมัน
ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอิตาลี
และภาษารูมันช์
แต่ประชากรส่วนใหญ่จะพูดภาษาเยอรมัน
ภาษาอื่น ๆ ก็คือ ภาษาอังกฤษ
ไม่ต้องกังวลไป
เพราะคนที่นี่ก็พูดภาษาอังกฤษได้ทั่วไป
โดยเฉพาะในเมืองและแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ
4. เวลา
เวลา สวิตเซอร์แลนด์
ช้ากว่าประเทศไทย 6 ชั่วโมง
5. ที่พัก โรงแรม
ที่พักดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
เลือกที่พัก ที่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว
จะได้ไม่เหนื่อยกับการเดินทาง
อย่างที่สวิตเซอร์แลนด์
ถ้าที่พักในเมือง
อิ้มแนะนำให้หาที่พักใกล้สถานี
แต่ถ้าเป็นนอกเมือง อิ้มแนะนำ
หาที่พักวิวสวยๆ
ตื่นเช้ามาจะฟินกับวิวที่อยู่ตรงหน้า
อ้อ แล้วถ้าเป็นไปได้
ให้เลือกที่พัก ที่มีครัวทำอาหาร
คนไทย ยังไงก็ชอบอาหารไทย
อิ่มอร่อย แถมประหยัด
6. สภาพ อากาศ การแต่งตัว เสื้อผ้า
สวิตเซอร์แลนด์มีฤดูกาล 4 ฤดู ดังนี้
ฤดูใบไม้ผลิ (Spring)
ช่วงเดือนมีนาคม – พฤษภาคม
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ในฤดูใบไม้ผลิ
จะมีอุณหภูมิประมาณ 3-17 องศา
อากาศเย็นสบาย
วิวธรรมชาติสวยงามไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี
ต้นไม้เขียวชอุ่ม
ดอกไม้ออกดอกบานสะพรั่งสวยงาม
ส่วนตัวอิ้มว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่สวยงามมาก
ฤดูร้อน (Summer)
ช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม
ในฤดูร้อนของประเทศสวิตเซอร์แลนด์
อุณหภูมิประมาณ 18-28 องศา ไม่ร้อนจนเกินไป
พระอาทิตย์ตกช้า
มีเวลาเที่ยวค่อนข้างเยอะ
บางวันกว่าจะมืดก็เกือบทุ่ม สองทุ่ม
ฤดูใบไม้ร่วง (Autumn)
ช่วงเดือนกันยายน – พฤศจิกายน
อุณหภูมิประมาณ 7 – 15 องศา
อากาศเย็นสบาย
และเป็นช่วงเวลาสุดโรแมนติก
ด้วยต้นไม้ต่าง ๆ จะเปลี่ยนสีใบไม้
เป็นสีเหลืองทอง ส้ม แดง
โดยเฉพาะบริเวณเทือกเขา
รวมถึงเป็นช่วงที่มีเทศกาลพื้นเมืองท้องถิ่น
เพราะพืชผักผลไม้ออกผลผลิต
อิ้มไปช่วงนี้ค่ะ แต่จะปลายๆ แล้ว
เห็นใบไม้ยังพอมีสีสัน สวยงามมาก
ฤดูหนาว (Winter)
ช่วงเดือนธันวาคม – กุมภาพันธ์
อุณหภูมิประมาณ -10-7 องศา
เป็นช่วงหิมะตกทำให้ทั่วทุกแห่ง
เต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน
บริเวณเทือกขาวมีทิวทัศน์ธรรมชาติสวยงาม
ราวกับอยู่ในโลกเทพนิยาย
ช่วงนี้นักท่องเที่ยวก็จะเยอะ
และคนนิยมมาเล่นสกี
7. ยา
การซื้อยาที่สวิตเซอร์แลนด์
ต้องมีใบสั่งจากแพทย์แล้วค่อยไปยื่นที่ร้านขายยา
ก็จะค่อนข้างยาก
สามารถเตรียมยาพื้นฐานต่างๆ ไปได้
เช่นลดไข้ ลดน้ำมูก แก้แพ้ แก้ท้องเสีย
แก้ไอ แก้อักเสบ แก้ท้องอืด
8. อุปกรณ์ชาร์ตแบต ปลั๊กไฟ
ที่สวิตเซอร์แลนด์จะใช้ปลั๊กแบบ หัวกลม
เหมือนแบบมาตราฐานยุโรป เยอรมัน
ใครอุปกรณ์เยอะแนะนำพกปลั๊กพ่วงมาด้วย
เพราะบางโรงแรมจะมีหัวเสียบปลั๊กค่อยข้างจำกัด
9. พาสสปอร์ต
นักท่องเที่ยวไทย ต้องของวีซ่าเชงเก้น
วีซ่าเชงเก้น
เป็นวีซ่าสำหรับกลุ่มประเทศในโซนยุโรป
ที่เราใช้เดินทางท่องเที่ยวข้ามแดนได้เลย
โดยไม่ต้องขอเข้าประเทศในทุกๆ ประเทศที่ไป
โดยใช้ใบอนุญาตเพียงใบเดียวนั่นเอง
โดย 26 ประเทศเชงเก้น ได้แก่
ออสเตรีย,เบลเยี่ยม,สาธารณรัฐเชก
เดนมาร์ก,เอสโตเนีย,ฟินแลนด์
ฝรั่งเศส,เยอรมนี,กรีซ,ฮังการี
อิตาลี,ลัตเวีย,ลิธัวเนีย,ลักเซมเบิร์ก
มอลตา,เนเธอร์แลนด์,โปแลนด์
โปรตุเกส,สโลวาเกีย,สโลวีเนีย
สเปน,สวีเดน,นอร์เวย์
ไอซ์แลนด์,สวิตเซอร์แลนด์
และลิกเตนสไตน์
สำหรับอายุของวีซ่านั้น
ขึ้นอยู่กับรายการท่องเที่ยว (Itinerary)
ที่คุณจะเดินทาง เช่น คุณเดินทางไปยุโรป 15 วัน
ส่วนมากก็ได้ วีซ่าเชงเก้น 15 วัน หรือมากกว่านั้น
ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของสถานทูตเจ้าหน้าที่
ส่วนตัวครั้งนี้อิ้มขอวีซ่าเยอรมัน
รายละเอียดเพิ่มเติม
https://visa.vfsglobal.com/one-pager/germany/thailand/thai/
เอกสารการขอวีซ่าเชงเก้น
รายละเอียดทั้งหมดต้องมี
– สำเนาหนังสือเดินทาง
ตัวจริงและสำเนา
– แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่า
– ใบจองโรงแรม
– ใบจองเที่ยวบิน (เฉพาะวีซ่าท่องเที่ยว)
– หลักฐานอื่น ๆ เช่น หนังสือรับรองการทำงาน,
– หลักฐานทางการเงิน, สูติบัตร, โฉนดที่ดิน ฯลฯ
– หลักฐานการประกัน สุขภาพและอุบัติเหตุ
เอกสารแบบละเอียด
https://bit.ly/3VGii9d
แต่เอกสารที่สำคัญที่สุด
ที่ขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาดเลย
ก็คือหนังสือเดินทาง หรือ พาสปอร์ต (Passport)
ที่อายุเดินทางควรมีมากกว่า 6 เดือนขึ้นไป
และที่สำคัญ
อย่าลืมตรวจสอบวันหมดอายุให้เรียบร้อย
ก่อนเดินทางด้วยนะคะ
10. แพลนการเดินทาง
สำหรับคนอื่นอาจจะไม่
แต่สำหรับอิ้มเรื่องแพลนก็ยังสำคัญนะ
จะเดินทางไปไหนอย่างไร
ควรเตรียมแพลนให้พร้อม
จะได้ไม่เสียเวลาเที่ยว
และจะเพิ่มอรรถรสในการท่องเที่ยวให้ได้มากยิ่งขึ้น
เช่น ศึกษาสถานที่ ที่จะไป ว่ามันคืออะไร
เจดีย์นี้คืออะไร สะพานนี้คืออะไร
แล้วชั้นจะถ่ายรูปไปทำไม
พอไปถึงจะได้ไม่ต้องยืนงง ในดง ต่างๆ จร้าาาา
11. pocket wifi และซิมการ์ด
ปัจจุบันหลายคนอาจจะไม่ได้ใช้
pocket wifi กันแล้ว
อิ้มเองก็เช่นกัน
อย่างไปสวิตเซอร์แลนด์รอบนี้
อิ้มใช้ซิมของทรูซื้อจากสนามบินเลยค่ะ
อิ้มซื้อแบบ 7 วัน 2 ซิม
เพราะจะได้ net เยอะกว่า ราคาประหยัดกว่า
12. การเดินทางในสวิตเซอร์แลนด์
สามารถใช้ Google Map ได้ปกติ
การเดินทางในสวิตเซอร์แลนด์
ส่วนตัวอิ้มว่าเดินทางค่อนข้างง่ายและสะดวก
ไม่ว่าจะเป็นรถบัส รถไฟ รถราง
แต่ค่าโดยสาร ราคาต้องบอกเลยว่าสูงมาก
เพราะฉะนั้นเราควรมี Swiss Travel Pass
Swiss Travel Pass
เป็นบัตรที่ใช้เดินทางโดยรถสาธารณะได้ทุกแบบ
ไม่ว่าจะเป็นรสบัส รถไฟ รถราง เรือ
ใช้ได้ทั่วสวิตเซอร์แลนด์แบบไม่จำกัด
มีให้เลือกตั้งแต่ 3 – 15 วัน
นอกจากนั้นตั๋วใบนี้ยังใช้เข้าชมพิพิธภัณฑ์
ได้อีกไม่ต่ำกว่า 4,000 แห่ง ฟรีอีกด้วย
แต่ถ้าจะขึ้นสู่ยอดเขาต่างๆ
ก็สามารถใช้บัตรนี้เป็นส่วนลดได้
ทั้งรถไฟสายภูเขา กระเช้าไฟฟ้า
หรือเคเบิ้ลคาร์ ก็จะได้รับส่วนลด 25-50%
แค่นี้อิ้มว่าก็คุ้มค่ามากแล้ว
ทำให้ชีวิตสะดวกกับการเดินทางมาก
อิ้มจองผ่าน KKday แบบ First Class
เข้าไปดูรายละเอียดกันได้เลยค่ะ
https://bit.ly/3SAOQjs
จองง่าย สะดวกมากกก
13. ประกันภัยการเดินทาง
ไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์
แนะนำว่าควรซื้อประกันเดินทางต่างประเทศไว้ด้วย
อิ้มเลือกซื้อแบบรายปีแค่หลักพัน
แต่คุ้มครองเราแบบคุ้มมากๆ
ประกันเดินทางต่างประเทศ
มีให้เราเลือกซื้อได้
แบบตอบโจทย์ไลฟสไตล์การเดินทาง
มีประกันเดินทางไว้อุ่นใจกว่าเยอะ
14.อาหารสวิตเซอร์แลนด์
6 ชนิดอาหารที่พลาดไม่ได้เลยเมื่อมาสวิตเซอร์แลนด์
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เป็นประเทศที่ทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์
ดังนั้นวัตถุดิบที่นำมาผลิตอาหารประจำชาติ
จึงเป็นวัตถุดิบคุณภาพสูงตามไปด้วย อ
าหารสวิสจึงมีลักษณะการปรุงด้วยวิธีการที่เรียบง่าย
แต่ได้รสชาติธรรมชาติแท้ๆของวัตถุดิบ
เมนูที่ห้ามพลาด
1. ฟองดูชีส (Cheese Fondue)
สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศ
ที่สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ประเทศนมได้ดีที่สุดในโลก
ชีสสวิสจึงมีรสชาติหอมมันต่างจากชีสที่ผลิตจากที่อื่นๆ
ฟองดูเค้าจะทานกันในฤดูหนาวมาตั้งแต่สมัยโบราณ
เค้าจะนำชีสหลากหลายชนิด
ที่ทำเตรียมไว้มาอุ่นรวมกัน
ในหม้อพร้อมไวน์ขาวและกระเทียม
เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังและมันฝรั่ง
บางทีก็จะมีเนื้อสัตว์และผลไม้
โดยวิธีการกินฟองดูชีสในแบบสวิสนั้น
คือการใช้ไม้ปลายแหลม
ที่มีลักษณะเหมือนส้อม
จิ้มอาหารและจุ่มลงไปในหม้อชีส
ส่วนตัวอิ้มได้ลองเมนูนี้ค่ะ อร่อยจริงๆ
ทานแล้วเพลินมาก
2. ปาเปต์ โวดัวส์ หรือ
ต้นหอมและมันฝรั่งเสิร์ฟ
คู่กับไส้กรอก (Papet Vaudois)
3.โรสตี หรือมันฝรั่งฝอยทอด (Rösti)
4. ราแคลตต์ (Raclette)
5.โพเลนตาและเนื้อตุ๋น
(Polenta and braised beef)
6.ทาร์ทีแฟลตต์ (Tartiflette)
ที่สำคัญในสวิตค่าครองชีพค่อนข้างสูง
อาหารราคาสูงลิ่ว อย่างข้าวแกงไทยๆ
อิ้มเจอจานละ 800 บาท
ถ้าทำทานเองได้ ก็ประหยัดไปเยอะ
ที่นี่มีซุปเปอร์สามารถซื้อวัตถุดิบ
เช่นเนื้อสัตว์ ผักต่างๆ มาทำทานได้
และถ้าเจอซุปเปอร์เอเชีย
หรือของไทยก็จะฟินมาก
แอบกระซิบว่าที่สถานีซูริก มีอยู่ร้านนึงค่ะ
มีขายครบทุกอย่าง น้ำปลา กะปิ
มาม่าทุกรส รวมไปถึงพวกสะตอก็มีนะ
และแน่นอนคนขายเป็นคนไทย ม่วนมากกก
แต่ถ้าไม่ใช่ซุปเปอร์ไทย
หรือต้องออกต่างจังหวัด
พวกเครื่องปรุงที่จะหายาก
จะมีพวกน้ำปลา พริกป่น ผงปรุงรส
แทบจะหาซื้อไม่ได้เลย
แนะนำให้พกมาจากไทยค่ะ
รู้จักสวิตเซอร์แลนด์กันเต็มที่แล้ว
เดี๋ยวอิ้มเริ่มพาเที่ยวกันต่อน๊าา
หลังจากที่เราเดินทางกันมาอย่างยาวนาน
ถึงที่พักก็บแทบสลบเลยค่ะ
Day 1 เราเข้าพัก Interlaken ฝั่ง Ost
ที่พักชื่อ Modern Apartment
อยู่ใกล้สถานี Interlaken Ost มากกกกด้านหน้าที่พักของเรา
ซึ่งอิ้มพักที่ชั้น 2อิ้มจองจากลิ้งค์นี้
https://www.booking.com/Share-8RgjoJ
เป็นที่พักที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่มากลุ่มใหญ่
ไม่ว่าครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อน
เพราะภายในมีห้องนั่งเล่น 1 ห้องมีครัวทำอาหาร โต๊ะทานข้าว ห้องนอน 3 ห้อง และห้องน้ำ 2 ห้อง
ราคาไม่แรง ทำเลดีสุดๆ
เราพักที่นี่ 2 คืน
ห้องนี้เป็น master bedroom จะมีห้องน้ำในตัวห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกค่ะ Day 2 เราตื่นเช้าไปเที่ยว Zermatt
ซึ่งเป็นไฮไลต์ของทริปเลย
เราดูพยากรณ์อากาศแล้วว่าวันนี้อากาศดี
จึงให้เวลาที่นี่ทั้งวันเพราะเดินทางไกล
บรรยากาศใกล้ๆ ที่พักของอิ้ม
เงียบสงบมากกกกมาเริ่มเดินทางกัน
อิ้มไปจาก Interlaken Ost
ก็จะใช้เวลาเดินทางนานหน่อย
สามารถเช็ครอบรถไฟจาก google map ได้เลย
รอบที่อิ้มไป จะเริ่มตั้งแต่ Interlaken Ost
ไปลงที่ Spiez เปลี่ยนรถต่อไป Brig
แล้ววันที่อิ้มไปเป็นช่วงรถไฟเสีย
ต้องนั่งบัสไปช่วงนึง
แล้วไปนั่งรถไฟต่อไปลง Zermatt
แต่ถ้ารถไม่เสีย จาก Brig
ก็จะมีรถไฟวิ่งตรงไป Zermatt
ไม่เสียเวลาในการเดินทาง
แถมวิวระหว่างทางก็สวยมากด้วยค่ะอิ้มจอง Swiss Travel Pass
ผ่าน KKday แบบ First Class
เข้าไปดูรายละเอียดกันได้เลยค่ะ
https://bit.ly/3SAOQjs
1st Class : Business Zone
แถวที่นั่ง เป็นแบบ 3 แถว 2+1
คนไม่เยอะ เสียงไม่ดังมีมุมที่นั่งแบบนี้ด้วยค่ะ
ถ้ามากับกลุ่มเพื่อนคือสะดวกมากแล้วที่อิ้มชอบมาก
เค้าจะมีโบกี้ที่เป็นห้องอาหารด้วยค่ะ
สามารถทานอาหาร หรือเครื่องดื่มอุ่นๆ
ทางไปชมวิวไป ดีต่อใจสุดๆรถไฟก็พาเรามายัง Spiez
เพื่อเปลี่ยนสถานี
ตอนแรก อิ้มกะว่าจะรถรออย่างเดียว
แต่พอชะโงกไปคือแสงสวยเวอร์
พอเราวิ่งออกมากันก็เห็นวิวแบบนี้เลยค่ะวิวอลังมากกก นี่แค่สถานีเล็กๆ นะ แค่ช่วงสถานีแรก
ก็ถ่ายภาพมาเป็นร้อย shot แล้วจ้า ><อ่ะเดินทางกันต่อไปที่ Brig ค่ะ ช่วงทีอิ้มไปเค้ากำลังซ่อมรถไฟ
เราต้องเสียเวลาไปขึ้นบัส
แต่โชคยังดีที่ด้านหน้าว่าง
อิ้มเลยได้มองวิวแบบเต็มตาระหว่างทางคือสวยจับใจ ถ่ายภาพกันไม่หยุดหย่อน แล้วบัสก็มาส่งเรา
ให้ขึ้นรถไฟต่อไปอีกหน่อยค่ะที่นั่ง 1st Class
จะประมาณนี้ คนน้อย เงียบสงบแถมวิวจากกระจกคือกว้างมากก แว้บเดีญวก็มาถึง Zermatt ด้วยค่ะ
พอไปถึงแล้ว ต้องบอกว่าสวยงามมาก
เหมือนในนิยาย
ตัวเมืองคือน่ารัก เอาจริงๆ ถ้ามีเวลาควรพัก 1 คืน
รอบหน้ามาจะไม่พลาดเลยเราเลือกเดินเที่ยวในตัวเมืองก่อนค่ะ
ถนนที่ทอดยาวจากหน้าสถานีนั้น
เป็นถนนสายหลักที่ชื่อ Bahnhofstrasseคาฟง คาเฟ่ คาใจ
ร้านขายของที่ระลึกเต็มไปหมดแซร์มัท หรือ เซรอ์แมท
เป็นเมืองชนบทในเทือกเขาแอลป์
ตั้งอยู่ในรัฐวาเลของสวิตเซอร์แลนด์
มีชื่อเสียงเรื่องเมืองแห่งสกีรีสอร์ตและการปีนเขา
แต่นั่นยังไม่ดึงดูดความสนใจมาก
เท่ากับความสวยงามของเมือง
ที่มียอดเขามัทเทอร์ฮอร์น (Matterhorn) เป็นฉากหลัง
ไม่เพียงแค่นั้นบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างในเมือง
ยังทำด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่
ที่สำคัญเป็นเมืองปลอดมลพิษ
ภายในเมืองใช้รถไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว
และนักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการกระเช้าลอยฟ้า
ขึ้นไปสู่เขามัทเทอร์ฮอร์น
หรือจะข้ามไปยังหมู่บ้านเบรย-แชร์วีเนีย
ฝั่งประเทศอิตาลีก็สามารถทำได้ค่ะZermatt สามารถเที่ยวได้ทุกฤดู
ซึ่งสีสันของเมืองก็จะเปลี่ยนไปตามสภาพอากาศ
ฤดูหนาว (ธันวาคม-กุมภาพันธ์)
เมืองจะขาวโพลนไปด้วยหิมะ
อุณหภูมิอาจหนาวไปถึงระดับติดลบ
ส่วนฤดูร้อน (มิถุนายน-สิงหาคม)
อากาศก็จะเย็นสบาย
ประมาณ 15-25 องศาเซลเซียส
ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน-พฤศจิกายน)
ประมาณ 5-10 องศาเซลเซียส
และฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม-พฤษภาคม)
อากาศก็จะเย็น 10-15 องศาเซลเซียสส่วนตัวอิ้มว่าหมู่บ้านกว้างมาก
มีมุมถ่ายภาพสวยๆ เต็มไปหมดเลยเป็นหมู่บ้านที่วิวสวยมาก อยากนั่งมองวิวแบบนี้ไปทั้งวัน ก่อนขึ้นไปด้านบนก็หาเมนูรองท้องสักหน่อย
อิ้มทานเป็นพวกกะบับ
ราคาประมาณ 15-20 เหรียญการมาเที่ยวที่ zermatt
นอกจากจะได้เที่ยวชมหมู่บ้านได้สวยๆ แล้ว
ยังสามารถขึ้นไปชมเขามัตเธอร์ฮอห์น (Matterhorn)
ซึ่งสัญลักษณ์ของช็อกโกแลต
ยี่ห้อดัง Toblerone ได้อีกด้วย
เราสามารถขึ้นได้ 2 ฝั่ง
ทั้ง Matterhorn glacier paradise
และ Gornergrat
(ทั้งสองจุดสามารถใช้ Swiss Travel Pass ลด 50%)
ของอิ้มเวลาน้อย
เลยเลือกไปที่ Gornergrat ที่เดียว
ให้มาขึ้นตรงนี้นะคะ สถานี Gornergrat ฺBann
อยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟ Zermatt เลยค่าโดยสารปกติจะคนละ 110 CHF
แต่ถ้าใช้ Swiss pass แบบอิ้มจะลดไปอีก 50%
เท่ากับอิ้มจ่ายไป คนละ 55 CHFเวลาขึ้นรถไฟ แนะนำให้นั่งฝั่งขวานะ
จะเห็นวิวสวยๆ ตลอดทางเลยค่ะชอบมุมนี้จัง สวยเหมือนอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ ขบวนรถไฟนี้ จะวิ่งบนรางฟันเฟือง สำหรับไต่เขา
แวะจอดที่สถานี Findelbach 1774 ม,
Riffelalp 2211 ม ,
Riffelberg 2582 ม,
Rotenboden 2582 ม
สถานีสุดท้าย
ของทางรถไฟสายนี้คือ Gornergrat
ที่ระดับความสูง 3,089 ม
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาทีกว่าๆถึงแล้วค่ะ
สถานี Gornergrat ที่ระดับความสูง 3,089 มฟ้าเปิด อากาศเป็นใจ
ตอนนั้นเหมือนลอยอยู่บนสวรรค์
ด้านบนคือสวยมาก
สวยแบบ ไม่รู้จะหาคำไหนมาบรรยายสถานี Gornergrat
จากสถานีนี้จะเห็น Matterhorn
แบบชัดเจนอีกที่ค่ะ Matterhorn จ
ะอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 4478 เมตร
เป็นหนึ่งในภูเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาแอลป์
ถือเป็นแลนด์มาร์ก
และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่
มีการถ่ายภาพมากที่สุดแห่งหนึ่ง
ในสวิตเซอร์แลนด์เลยค่ะทางอิ้มนั่นก็ถ่ายภาพเพลินมากกก ใช้คำว่าสวยได้เปลืองมากจริงๆ อย่าลืมซื้อ Toblerone มาด้วยนะ
เอามาถ่ายภาพกับ Matterhorn แบบนี้จากนั้นก็เดินเล่นถ่ายภาพกันต่อ มุมนี้เราจะเห็นว่าเป็นธารน้ำ
ซึ่งกลายเป็นน้ำแข็งหมดแล้วค่ะสถานี Gornergrat ในมุมสูง
อิ้มว่าเป็นสถานีรถไฟที่สวยที่สุดในใจอิ้มเลยค่ะเดินมาด้านบนจะมีโบสถ์น่ารักๆ แบบนี้ด้วยนะ ถ่ายภาพกับ Matterhorn สักหน่อย ด้านบนนี้เค้าจะมีร้านอาหารและคาเฟ่
ซึ่งจะมีมุมไอจี ปังๆ ก็คือมุมนี้เลยค่ะหลงรัก Matterhorn เต็มหัวใจ เสร็จแล้วเดี๋ยวเราจะไปเดินถ่ายภาพกันต่อ เราจะเดินลงไปที่สถานี Rotenboden
เพื่อถ่ายทะเลสาบ Riffelsee
และ วิว Matterhorn สะท้อนน้ำ
ถามว่าทำไม ไม่นั่งรถไฟลงไปล่ะ
เดินทำไมให้เหนื่อย
ให้ภาพนี้เป็นคำตอบค่ะ
ระหว่างทางเดินลงไป
เราจะเห็นรถไฟวิ่งขึ้นลงตลอด
อิ้มอยากเก็บภาพรถไฟสวยๆ
จะเลือกใช้เส้นทางเดินลงมาค่ะระยะทางไกลพอสมควร
แนะนำให้ใส่รองเท้าดีๆ จะได้เดินสะดวก
ของอิ้มใส่บูท เดินลำบากมากกคนอื่นเค้าแต่งตัวเต็มที่
เพราะเป็นอีกเส้นทางของการเดินเทรลลงมาได้ฮึบนึงแล้ว สู้ๆ พี่ๆ เดินลงไปไวมาก 5555 มี Matterhorn ไปเป็นเพื่อนตลอดทาง นี่ค่ะ หันไปก็เจอวิวรถไฟ
วิ่งลงมาจากสถานี Gornergrat สวยมากกทางเดินลงไปค่ะ หินล้วนๆ >< ตรงนี้ก็จะเห็นวิวรถไฟอีกมุมนึง งื้อออ วิวแบบนี้ที่อยากมาเห็น ได้ภาพมาเพียบเลยค่ะ สำหรับจุดนี้ ถ้าใครไม่อยากเดินลงมาแบบอิ้ม
แนะนำให้ลงสถานี Rotenboden
แล้วเดินลงมานิดเดียวก็จะถึง
มุมที่เค้าถ่ายรูปกับทะเลสาบ Riffelsee
และวิว Matterhorn สะท้อนน้ำ
มาช่วงเช้าก็จะดีไม่ย้อนแสงค่ะ
หรือจะขึ้นไปบนสถานี Gornergrat ก่อน
แล้วค่อยนั่งรถไฟลงมาสถานี Rotenboden ก็ได้ค่ะแต่อิ้มว่าช่วงเย็นก็สวยนะ
ได้ฟิลอีกแบบนึงอลังการมากกกก ใช้เวลาด้านบนอยู่นาน
กว่าจะถ่ายภาพเสร็จจบ
กลับเข้ามาในเมืองก็จวนค่ำนั่งรถไฟช่วงเย็นคนก็จะน้อยๆ
ระหว่างนั่งกลับมาก็ได้วิวแบบนี้
ในช่วงแสงเย็นสวยๆฟินกับวิวแบบนี้จัง ในเมือง zermmatt
มีร้านช็อกโกแลตเจ้าดัง Läderach
1 ในร้าน chocolate ชื่อดังที่มีสาขาหลากหลาย
ในประเทศ Switzerlandเค้ามีหลายแบบมาก มีให้ชืมฟรีด้วย แบบนี้ก็อร่อยมากก มีหลากหลายรสให้เลือกทาน ใครอยากเทสน้อยๆ
เลือกเป็นกล่องแบบนี้ได้นะความน่ากินอยู่ที่เค้าจะมีแบบเป็นแผ่นใหญ่ๆ
ขายเป็นขีดหักกันตรงนั้นเลยค่ะพลังงาน chocolate ทำลายล้างมาก
ดาเมจสูง อยากทานไปซะทุกอย่าง 5555จะบอกว่าอร่อยมากกกกกกก
อิ้มซื้อหมดไป 2,000 กว่าบาท
ทานช็อกโกแลต
จนเบาหวานขึ้นตาไปเลยค่ะ 55555Day 3
เราเช็คเอาท์ออกจากโรงแรม
ออกมาชมวิวจากระเบียงหน้าบ้านสักหน่อย
จะบอกว่าดีต่อใจอิ้มฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีค่ะ
ช่วงเช้าไปเที่ยวหมู่บ้าน Lauterbrunnen
อยู่ในเมือง Interlakenนั่งรถไฟชมวิวสวยๆ แล้วก็จะใจฟูหน่อยๆ Lauterbrunnen
หมู่บ้านกลางหุบเขาในสวิตเซอร์แลนด์ วิวหลักล้าน !!
ไฮไลท์ก็คือเป็นหมู่บ้านสวยๆ
รายล้อมด้วยเทือกเขาสูง
มีหน้าผาสูงชัน
และน้ำตก Staubbach ที่สูงถึง 300 เมตร
ตอนที่มาถึงเหมือนหลุดมาอยู่ที่ ริเวนเดลล์
สวยมากอีกแล้ววว หลงรักที่นี่มากหมู่บ้านท่ามกลางวิวเทิอกเขา ทัศนียภาพของหมู่บ้านแห่งนี้สวยอลังการมาก
น่าอิจฉาชาวเมืองที่นี่จริง ๆความสวยงามและเงียบสงบของหมู่บ้านแห่งนี้
ถูกนำไปเป็นต้นแบบของหุบเขาริเวนเดลล์
ในโลกแห่งมิดเดิลเอิร์ธ
โดย John Ronald Reuel Tolkien
ผู้เขียน The Hobbit
และ The Lord of the Ringถ่ายภาพกับอารากอนสักหน่อย สวยงามราวกับภาพวาด เห็นภาพนี้คือนึกถึง
ริเวนเดลล์ (Rivendell) อาณาจักรของเอลฟ์สวยเกินต้าน แนะนำให้เดินทางที่ด้านหลัง
จะมีมุมที่น่าถ่ายภาพอีกมุมนึงหมู่บ้านนี้ช่างเงียบสงบมาก ทัศนียภาพงดงามมากกก
ใกล้ชิดธรรมชาติแบบสุดๆแล้วก็อย่าลืมมาถ่ายภาพมุมนี้น๊าา โบสถ์นี้วิวอลังเป็นเทิอกเขาแอลป์เป็นฉากหลัง มีทางเดินเล่นลงไปเรื่อยๆ ค่ะ น่าเสียดายที่เวลาน้อย
จริงๆ ควรให้เวลาเค้านานๆ หรือพักสักคืน
จะได้เดินถ่ายภาพครบทุกจุดช่วงบ่าย เราไปเที่ยว Grindelwald ต่อ
ตอนแรกตั้งใจจะไป First Cliff Walk
แต่ช่วงที่อิ้มไปเค้าปิดแล้วจ้า น้ำตาจะไหล
เราเลยทำได้แค่นั่งชิลๆ ทานสเต็กอร่อยๆ
ชมวิวเทือกเขาสวยๆเราทานอาหารกันที่ร้านนี้ค่ะ พาสต้าจะราคาเบาๆ หน่อย ประมาณ 20 CHF สเต็กเนื้อ พวก rib eye และ tenderlion
จานนึงราคาประมาณ 55 CHFแต่เนื้อคือดีมากกกก
เป็นสเต็กที่ราคาแพงที่สุดในชีวิตแล้ววทานเสร็จเรานั่งรถไฟย้อนมาสถานีนึง
มาลงที่สถานีกรินเดิลวาลด์ กรุนด์วิวสวยมากกก และสถานีจะเป็นอาคารสถานีใหม่
กรินเดิลวาลด์ กรุนด์
(Grindelwald Grund Terminal)
จะเป็นที่ตั้ง
ของกระเช้าลอยฟ้าใหม่ล่าสุด
ไอเกอร์เอ็กซเพรส (Eiger Express)
ย่นเวลาเดินทางสู่ยอดเขาJungfrau
ใครจะขึ้น Jungfrau สามารถใช้เส้นทางนี้ได้ค่ะแต่อิ้มเวลาน้อยมาก
และเราดูแล้วว่าอากาศไม่ดี
เลยเลือกที่จะไม่ขึ้นไป
เลยทำได้แค่นั่งชิลๆ ในคาเฟ่ทานเครื่องดื่มดีๆ ชมวิวสวยๆ ก็อิ่มใจแล้วค่ะ จากนั้นเราก็กลับมายังสถานี Interlaken
จริงๆ ตั้งใจจะล่องเรือไป
ทะเลสาบสีมรกต Lake Brienz
ตามรอย Crash Landing on You
ที่ยุนเซรี ที่นั่งเรือชมทะเลสาบ
แล้วได้ยินเสียงเปียโนของพระเอก
แต่ฤดูที่อิ้ม เค้าปิดค่าาาาาา เสียใจมากเราเลยเปลี่ยนจุดหมาย
เดินทางไปที่ Hohematte Park
ที่อยู่ด้านหน้าโรงแรม
The VICTORIA-JUNGFRAU Grand Hotel & Spa
โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ที่มีฉากถ่ายทำตอนจบ
ของซีรีส์เกาหลีชื่อดังอย่าง
Crash Landing On Youโรงแรมคืออลังการมาก รับบทยุเซรีแล้วหนึ่ง >< Hohematte Park จะเป็น
สวนที่อยู่กลางเมือง เหมาะจะเดินเล่น
ถ่ายรูป พักเหนื่อย ดูวิวคนเล่น sky glidingบางคนมาที่นี่ ก็จะเล่น paragliders อยากลองสักครั้งเหมือนกันนะ เป็นสวนกลางเมืองที่วิวสุดอลัง ปิดท้ายช่วงเย็นด้วยการไป Iseltwald
ตามรอยสหายผู้กอง รีจองฮยอก
เราจะนั่งบัสสาย 103 จาก Interlaken
ไปลงที่ Iseltwald ได้เลย
นั่งรถประมาณ ครึ่ง ชม ค่ะวิวหมูบ้านคือสวยอลังมาก จุดนี้จะเป็นมุมที่สหายผู้กอง รีจองฮยอก
เล่นเปียโนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนกลับประเทศ
และเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของ ยุนเซรี
ที่ได้ยินเสียงเปียโนลอยมา
ขณะล่องเรืออยู่กลางทะเลสาบ
ซึ่งสถานที่สหายผู้กองเล่นเปียโน
ก็คือที่ริมทะเลสาบ Lake Brienz
ตั้งอยู่ที่ Iseltwald อันเงียบสงบโคฟเป็นสหายผู้กองและยุนเซรี อิอิ ช่วงเย็นบรรยากาศคือโรแมนติกมากก
ใจฟูไม่ไหววจากนั้นเราเดินทางไปที่ Luzern
จาก Interlaken ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง
แล้วเราเข้าพักที่
Altstadt Hotel Krone Luzernห้องนี้จะนอนได้ 3 คนค่ะ ส่วนตัวอิ้มว่าห้องกว้างขวางมาก มีห้องน้ำในตัวคือสะดวกสบาย Day 4
ตื่นเช้าเที่ยว ลูเซิร์น เมืองเต็มอิ่มไปด้วย
สถาปัตยกรรม สายน้ำ และขุนเขา
อิ้มเดินเที่ยวประมาณครี่งวันวิวจากหน้าห้องเช้าค่ะ ด้านหน้าโรงแรมจะมีจตุรัส
และร้อนค้ารายล้อมเดินมาเรื่อยๆ จะเจอแม่น้ำร็อยส์
พาดผ่านตัวเมืองแบ่งลูเซิร์น
ออกเป็น เมืองเก่าและเมืองใหม่บรรยากาศยามเช้าคือดีงามมาก วันที่อิ้มไปเค้ามีตลาดเช้าด้วยน๊า
มีพวกผลไม้ และของขายเต็มไปหมดส่วนอิ้มมาสะดุดที่คาเฟ่ น่ารักๆ นี้ค่ะ ขนมราคา 2.50 CHF
เครื่องดื่มก็ 4.00 CHF
จะบอกว่าคนขายน่าร้ากกกได้มาแย้วววค่า ทานกาแฟยามเช้ากับวิวแบบนี้คือฟิน ตรงนี้จะมีจุดท่องเที่ยวสำคัญ
สะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge)
สะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในโลก
และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองลูเซิร์นสะพานไม้ชาเปล
เป็นสะพานคนเดินข้ามแม่น้ำรอยส์ในลูเซิร์น
มีอายุกว่า 600 ปี สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1365
เมื่อแรกสร้างมีความยาว 270 เมตร
แต่เนื่องจากตลิ่งแม้น้ำที่งอกเพิ่มขึ้นตลอดหลายร้อยปี
ทำให้ในปัจจุบันตัวสะพาน
เหลือความยาว 204.7 เมตร
สะพานนี้ถือเป็นสะพานไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรป
และถือเป็นหนึ่งในสะพานแบบโครงที่เก่าแก่ที่สุด
ที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกฃ ตลอดลำสะพานมีจิตรกรรมจำนวนมาก
ที่วาดขึ้นในศตวรรษที่ 17อย่างไรก็ตาม จิตรกรรมกว่า 2 ใน 3
ได้ถูกทำลายจากเหตุเพลิงไหม้ในปี ค.ศ. 1993
แต่ได้รับการซ่อมแซมใหม่
จนอยู่ในสภาพที่ดีเหมือนเดิมปัจจุบันได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญ
ต่อประวัติศาสตร์ของเมืองลูเซิร์นอีกด้วยค่ะจากนั้น อิ้มก็เดินเล่นเที่ยวต่อไปเรื่อยๆ ถ้ามีเวลา อิ้มแนะนำ
ให้ล่องเรือทะเลสาบ Luzernชมความสวยงามของวิวเมืองและทะเลาบ และความดีงามก็คือ
ใครมี Swiss Pass ขึ้นฟรีเหมือนเดิมจ้าได้เวลาเดินทางต่อ ต้องบอกลา Luzern แล้ว เรานั่งรถไฟจาก Luzern ไป Zurich
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาทีมาถึงแล้วก็หิวเลยหาอะไรทาน
เห็นร้านนี้ฟิลคล้ายอาหารไทย
เป็นข้าวราดแกง
จานละ 800 บาทค่า 555555ดิฉันผู้หิวโหยยืนทานอยู่ตรงนั้น ><
รสชาติทานได้ไหม
ตอบเลยว่า ได้อยู่ ได้อยู่กระเทยนะจ้าทานอิ่มแล้วเราก็มาฝากกระเป๋าเดินทางไว้
ที่ฝากกระเป๋าจะอยู่ที่ชั้น -1จะมีตู้สองแบบเล็กกับใหญ่ สีเขียวคือว่าง สีแดงคือไม่ว่าง แล้วก็มาจ่ายเงินรับรหัสตั๋วที่ตู้นี้ได้เลย เสร็จแล้วก็มาเที่ยวต่อค่ะ
เมืองซูริค (Zurich) เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เป็นศูนย์รวมทุกสิ่งของประเทศ
เป็นเมืองเก่าเต็มไปด้วยอาคารยุคกลาง
และพิพิธภัณฑ์Swiss National Museum
(Schweizerisches Nationalmuseum)
พิพิธภัณฑ์แห่งชาติสวิส
เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดของทวีปยุโรป
ตั้งอยู่ในข้างสถานี Zurich เลยค่ะจากนั้นอิ้มมาเดินเล่นบนถนน Bahnhofstrasse บ้านเมืองเค้าสวยงามจัง
อิจฉาคนที่อยู่ที่นี่สะพานมูเลสเตก (Mühlesteg Bridge)
สะพานเล็กๆ ข้ามแม่น้ำลิมมัต
ใจกลางเมืองซูริคเค้าจะมาคล้องกุญแจคู่รักกันค่ะ ทางเรานั้นก็ถ่ายภาพวนไป จากนั้นมาเดินเล่นย่านเมืองเก่า และมาสวิตต้องห้ามพลาด
กับการทาน Cheese Fondue อร่อยๆ
เราเลือกทานร้านนี้ค่ะ
Adler’s Swiss Chuchiที่นั่งด้านหน้าว่างแล้ว
เราพร้อมนั่งมากกกกแต่ใครมาอยากรอคิวก็นั่งด้านในได้นะ สวิตเซอร์แลนด์เป็นหนึ่งในประเทศ
ที่สามารถผลิต
ผลิตภัณฑ์ประเทศนมได้ดีที่สุดในโลก
ชีสสวิสจึงมีรสชาติหอมมัน
ต่างจากชีสที่ผลิตจากที่อื่นๆ
ฟองดูเค้าจะทานกัน
ในฤดูหนาวมาตั้งแต่สมัยโบราณ
เค้าจะนำชีสหลากหลายชนิด
ที่ทำเตรียมไว้มาอุ่นรวมกัน
ในหม้อพร้อมไวน์ขาวและกระเทียม
เสิร์ฟพร้อมกับขนมปังและมันฝรั่ง
บางทีก็จะมีเนื้อสัตว์และผลไม้
โดยวิธีการกินฟองดูชีสในแบบสวิสนั้น
คือการใช้ไม้ปลายแหลม
ที่มีลักษณะเหมือนส้อม
จิ้มอาหารและจุ่มลงไปในหม้อชีส
ส่วนตัวอิ้มได้ลองเมนูนี้ค่ะ อร่อยจริงๆ
ทานแล้วเพลินมากอิ้มว่าจิ้มขนมปังกับผลไม้คือดีย์ ฟินมากกกกกก อิ่มแล้วก็เดินเที่ยวกันต่อ ตรงนี้จะเป็นอีกจุดนึที่ตามรอย
Crash Landing on You
ซอดัน มาเดินเล่นกับสหายรีจองฮยอก
มาที่ สะพาน Münsterbrücke
เป็นสะพานข้ามถนนและเดินเท้า
ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำ Limmat สามารถเดินข้ามไปมาได้
ระหว่างสองฝั่งของโบสถ์สำคัญของซูริค
ฟากหนึ่งมีโบสถ์ Grossmunster
ที่มีลักษณ์เป็นหอคอยคู่
และอีกฟากนึงมีโบสถ์ Fraumunster
ภาพนี้ในซีรียส์ จะมีโบสถ์ Fraumunster
อยู่ด้านหลัง
แต่ตอนนี้ซอดันไม่อยู่ ดูซอด้วงกันก่อนนะคะ ><ตอนเย็นชมทะเลสาบซูริค บรรยากาศคือโรแมนติกมากกกก เดินเล่นชมเมืองกันต่อ ผ่านร้าน chocolate อีกแล้ว
ชั้นจะไม่ตกเป็นทาสของคุณหรอกค่ะ 5555แต่ร้านนี้น่าทานนะ เมนู Truffes เยอะมาก ปิดท้ายด้วยการ
ชมวิวเมืองมุมสูงยามเย็นที่
สวนสาธารณะลินเดนโฮฟ (Lindenhof Park)
จะเป็นจุดนึงที่ถ่าย
Crash Landing On You เช่นกัน
ซีนในเรื่อง: Lindenhof คือฉากในเพลงเปิดซีรีส์
ตอนที่พระ-นางของเราจะเดินสวนกัน
หน้าจัตุรัสแห่งหนึ่ง
และมีโบสถ์เป็นวิวอยู่ด้านหลังวิวเมืองยามเย็นสวยจับใจ
ปิดท้ายทริป สวิตเซอร์แลนด์
ของเราโดยสมบูรณ์
เตรียมไปเจอพี่ๆ ต่อที่เยอรมันแล้วค่ะเป็น 4วัน3 คืน ที่อิ้มว่าคุ้มค่ามาก
คิดไม่ผิดเลยค่ะ ที่ตัดสินใจ
ถึงจะมีเวลาน้อย แต่เราก็ได้เที่ยวหลายจุด
เรียกได้ว่าเป็นทริปครั้งแรกที่แสนจะประทับใจ
ยินดีที่ได้รู้จักนะ สวิตเซอร์แลนด์
เราต้องได้เจอกันอีกแน่นอนส่งท้ายความสุขในรีวิวด้วยภาพนี้นะคะ
ก่อนรีวิวนี้จะจบลง
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจนมาถึงบรรทัดนี้
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์
ขอบคุณทุกไลค์ ขอบคุณทุกแชร์
เป็นกำลังใจที่ดีในการทำรีวิวมากๆ
ถ้าชอบก็ฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะคะ
อัพเดทเรื่องกิน เช็กอินเรื่องเที่ยว ได้ที่นี่
psstory เรื่องราวดีๆในการเดินทาง
แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้านะคะ สวัสดีค่ะ
ช่องทางติดต่อเรา
http://www.psstorytrip.com
http://www.facebook.com/psstorytrip
http://www.instagram.com/psstorytrip
http://www.youtube.com/psstorytrip
https://www.tiktok.com/@psstorytrip