ฮอกไกโดในใจคุณเป็นแบบไหน ?
สำหรับอิ้ม ฮอกไกโด คือ ดินแดนอันเงียบสงบ
เป็นเกาะสวรรค์ของคนที่รักธรรมชาติ
ช่วงที่อิ้มไปคือปลายเดือนตุลาคม
เป็นช่วงชมใบไม้เปลี่ยนสี
แม้บางจุดจะใบไม้ร่วงโรยไปแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังสวยงาม น่าค้นหา
เป็นทริปที่อิ้มประทับใจมาก
และได้ภาพกลับมาเล่าเรื่องให้ทุกคนฟังเยอะแยะเชียวค่ะ
– การเดินทาง
อิ้มบินกับนกสกู๊ต
เค้าเพิ่งเปิดเส้นทางใหม่ เที่ยวบิน
บินตรงจากดอนเมือง-ซัปโปโร มีถึง 4วัน ต่ออาทิตย์
อิ้มไปวันแรก ไฟล์ทปฐมฤกษ์เลยจ้า
ก็โปรรราคาดี๊ดี น่าจับจองมาก
สำหรับเรื่องเวลา นกสกู๊ตก็บินตรงตามเวลา
ไม่ได้โดนเลื่อนไฟล์ท
ได้บินตามเที่ยวบินปกติ ไม่เท ไม่โดนยกเลิก
และนกสกู๊ต เครื่องบิน โบอิ้ง 777 ลำใหญ่
นั่งสบายกว่า เหยียดขาได้ยาว ไม่เมื่อย
นั่งไปญี่ปุ่นสวยๆ หกชั่วโมง ชิลๆ สบ๊ายยยย
ครั้งนี้อิ้มใช้เวลาเที่ยว 7 วัน รวมวันเดินทางกลับเป็น 8 วัน
เป็น Road Trip เช่ารถขับ 5 วัน
– อิ้มเช่ารถขับกับ KK Day
เค้ามีบริการเช่ารถส่วนตัวจากทาง KKDay
จองง่าย จ่ายสะดวก
อิ้มเช่ารถรุ่น WA
– ประเภทรถยนต์: โตโยต้า Noah,
มิตซูบิชิ Delica หรือประเภทที่คล้ายกัน
– ความจุ: สูงสุด จำนวนผู้โดยสาร 8 คน
และกระเป๋าเดินทาง 5 ใบ
ไปหลายคนยิ่งถูก อิ้มไปกันหกคน
และกระเป๋าเดินทางใบใหญ่หลายใบ
เช่ารถคันใหญ่แบบนี้จบ สะดวกสบายมากๆ
และการขับรถเที่ยวในฮอกไกโด
ยิ่งขับออกนอกเมือง รถยิ่งน้อย ขับง่ายสุดๆ
จะบอกช่วงที่ขับรถเที่ยว
เป็นช่วงเวลาที่อิ้มประทับใจมาก
ธรรมชาติที่ฮอกไกโดสวยมาก
ขับไปทางไหนก็ ว้าว ตลอด
กดชัตเตอร์ภาพไม่ยั้ง
เรียกว่าทริปนี้อิ้มใช้คำว่า สวย เปลืองที่สุดเลยค่ะ
อยากให้ทุกคนลองเช่ารถขับดู รับรองต้องฟิน
และที่เหลือนั่งรถไฟชิลๆ ในเมือง
หาของกินอร่อยๆ ใน Sapporo
เป็นทริปที่ เที่ยว ชิล กินได้คุ้มค่ามากๆ
ใครมีแพลนจะไปเที่ยวฮอกไกโด
ในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ดูรีวิวนี้ไม่ผิดหวังแน่นอน
ทั้งภาพ ทั้งข้อมูล จัดเต็มสุดๆ เลยจ้า
ช่องทางการติดต่อ Psstory
Facebook Page : https://www.facebook.com/psstorytrip
Youtube : https://www.youtube.com/channel/UCDbovnzcEgLS-l5NFi1tj3Q
IG : https://www.instagram.com/psstorytrip/
E mail : amim_97@hotmail.com
Day 1
– การเดินทาง
อิ้มบินกับนกสกู๊ต
เค้าเพิ่งเปิดเส้นทางใหม่ เที่ยวบิน
บินตรงจากดอนเมือง-ซัปโปโร มีถึง 4วัน ต่ออาทิตย์
อิ้มไปวันแรก ไฟล์ทปฐมฤกษ์เลยจ้า
ก็โปรรราคาดี๊ดี น่าจับจองมาก
สำหรับเรื่องเวลา นกสกู๊ตก็บินตรงตามเวลา
ไม่ได้โดนเลื่อนไฟล์ท
ได้บินตามเที่ยวบินปกติ ไม่เท ไม่โดนยกเลิก
และนอกจากนกสกู๊ต มีเที่ยวบิน
บินตรงจากดอนเมือง-ซัปโปโร 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์แล้ว
ใครสายแจแปนต้องฟังเพราะเค้ายังมี
เที่ยวบิน บินตรงดอนเมือง-โอซาก้า
และ ดอนเมือง-โตเกียว ทุกวัน
อยากเที่ยวซัปโปโร โตเกียวหรือโอซาก้าเมื่อไหร่
ลองให้นกสกู๊ตเป็นคำตอบนะคะ
เนื่องจากเป็นไฟล์ทปฐมฤกษ์เค้าก็มีป้ายเกร๋ๆ เอาไว้เป็นพร้อบแบบนี้
ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วจร้าาา เจอแอร์ยิ้มให้สวยๆ แบบนี้ ใจละลายยย
ที่นั่งบนนกสกู๊ตก็มีหลากหลายให้เลือกนั่ง
ห้องโดยสารของนกสกู๊ตกว้างขวาง
เนื่องจากนกสกู๊ตใช้เครื่องบินโบอิ้ง 777-200 ลำใหญ่มากกก
มี 2 ทางเดิน นั่งสบายกว่า
อันนี้ โซน Scoot Plus ค่ะ สิทธิพิเศษเยอะมากก
ทั้งขึ้นเครื่องก่อนใคร ได้น้ำหนักกระเป๋าเช็คอินคนละ 30 กก
และสัมภาระขึ้นเครื่อง 15 กก
ยังไม่หมดนะ
ยังได้รับอาหารและเครื่องดื่มฟรี
และเบาะที่นั่งนี่กว้างขวางมากกก
แต่รอบนี้อิ้มไม่ได้นั่งค่ะ
เพราะที่นั่ง เต็ม !!!
ขอมองบนให้คนที่จองทัน 1 ที และบอกตัวเองว่า
รอบหน้าชั้นจะต้องนั่ง Scoot Plus ไปญี่ปุ่นให้ได้
กลับมาที่ ที่นั่งตัวเอง
อิ้มชอบความความเงียบ อยากนอนยาวๆ
เลยเลือกโซนหลังชั้นธุรกิจ Scoot in Silence
คือการันตีได้เลยว่าโซนนี้จะไม่เจอเสียงเด็กร้อง
เพราะเค้าห้ามเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 นั่ง
และมีที่นั่งจำนวนจำกัด คนไม่เยอะ
นั่งสบาย หลับได้ยาวๆ จ้า
บินไกลไปซัปโปโร ประมาณ 5 ชม.
ก็ไม่ต้องกลัวท้องจะร้องจะหิว
เพราะเค้ามีบริการ NokScoot Café
พร้อมเสิร์ฟเมนูอร่อย
แนะนำเมนู Pre Order ชุดอาหารอุ่นร้อน
สามารถสั่งล่วงหน้าภายใน 48 ชั่วโมงก่อนบิน
เพราะมีเมนูหลากหลาย และประหยัดกว่า
ผ่านทาง http://www.nokscoot.com เท่านั้น
แต่พออิ้มนั่งปุ๊ปก็หลับเลยจ้า
ทานไม่ไหวววเลี้ยววว
เลยเลือกรับประทานอาหารในช่วงเช้าแทนได้
เพียงแค่แจ้งแอร์โฮสเตสไว้เท่านั้น
แต่หากไม่ได้สั่งมา ก็เปิดเมนูใน NokScoot Café ได้เลยค่า
หลังจากหลับไป 1 ตื่นก็ได้เวลาทานอาหาร อิ้มสั่งออนไลน์มาจะได้เป็นเซ็ทข้าวพร้อมน้ำติ่ม 1 ขวด
ไก่เทอริยากิเค้าอร่อยมาก
พาสต้าซอสเนื้อก็ดีอยู่เด้อ
พอทานอาหารอิ่ม
ก็มีเสียงประกาศเพราะๆ จากแอร์โฮสเตส
ว่าจะมีรางวัลสำหรับไฟล์ท ปฐมฤกษ์นี้ด้วยนะ
ของรางวัลเป็นตั๋วเครื่องบิน ไป – กลับ
สายการบินนกสกู๊ต เลือกไปที่ไหนก็ได้ 1 รางวัล
กรีสสสสสสสสสสส ใจป้ำเวอร์
เอาจริงๆ ก่อนบินก็เห็นมีกิจกรรมหน้าเค้าท์เตอร์ไปแล้วนะ
ก็นึกว่าหมดแล้ว แต่มาแจกต่อ
ตอนนั้นบนเครื่องคึกคักและสนุกมากก
และจากการขับเคี่ยวก็ได้ผู้โชคดีที่ได้รับรางวัลแล้วค่ะ หึหึหึ อิจฉาาา
หลังจากนั้น แอร์คนสวยก็เดินแจกโปสการ์ดใบเล็กๆ 1 ใบ
อิ้มก็หยิบแบบเซ็ง ๆ
ผ่านไปแป๊บเดียว เค้าก็ประกาศอีกว่า
ใครหยิบการ์ดลายนี้ไป ให้มารับรางวัลด้วยจร้าา
อิ้มนี่กระโดดเลยจ้า
ดีใจที่จะได้รับตั๋วเครื่องบิน
เปล่าจ่ะ ได้ผ้าห่มแทน 5555
เอาหน่าาาาา ก็ยังดีได้ผ้าห่มน่ารักๆ ไปนอนอุ่นๆ
ช่วงเวลาแห่งความสุขก็ผ่านไปยังรวดเร็ว
และนกสกู๊ตก็พามาถึงที่หมายในเวลาที่พอดีเป๊ะๆ
เจอกันขากลับนะจ้าาา พี่ BigBird
พอเราผ่านกระบวนการตมและรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว
อิ้มก็ลงมาที่ชั้นล่างสุด
เพื่อติดต่อรับรถเช่าค่ะ ตื่นเต้นมากกก เป็นการเช่ารับขับที่ญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต
ครั้งนี้อิ้มใช้เวลาเที่ยว 7 วัน รวมวันเดินทางกลับเป็น 8 วัน
เป็น Road Trip เช่ารถขับ 5 วัน
สำหรับการเช่ารถครั้งนี้ อิ้มเลือกใช้บริการผ่าน KKday.com
เข้าไปดูลิงค์ เช่ารถฮอกไกโด
การเช่ารถผ่าน KKday.com บอกเลยว่าง่ายมากก
เพราะหน้าเว็บไซต์ เขียนรายละเอียดในการเช่ารถ
ไว้อย่างละเอียดและครบถ้วน
ข้อมูลเป็นภาษาไทย
จองเสร็จ จ่ายเงิน และจะได้ VC มา
เราก็ปริ้นต์ไปหน้างานและยื่นให้เค้าท์เตอร์
แค่นี้ก็ขับรถเที่ยวญี่ปุ่นสบายๆ แล้วค่ะ
สำหรับครั้งแรกเหมือนอิ้มก็หมดห่วงเลยมันง่ายจริงๆ
ในฮอกไกโด จะมีจุดที่สามารถรับ และ คืนรถได้ทั้งหมด 4 สาขาด้วยกัน
1. สำนักงานสนามบินนิวชิโตเสะ:เวลาให้บริการ: ทุกวัน 8:00 น. – 20:00 น
2. สาขา Sapporo Station North Exit: เวลาทำการ: ทุกวัน 8:00 – 20:00 น.
3. สาขา Hakodate Airport: เวลาทำการ: ทุกวัน 8:00 – 19:00 น.
4. สาขา Hakodate Station: เวลาทำการ : ทุกวัน 8:00 – 20:00 น.
อิ้มรับรถที่สำนักงานสนามบินนิวชิโตเสะ
และ คืนที่ Sapporo Station North Exit
คืนต่างสาขาจะมีค่าธรรมเนียมนิดหน่อยนะคะ
เช่ารถขับที่ Sapporo กับ KKday
ทาง KKday จะดิวกับบริษัทรถเช่า Budget ไว้
พอเราลงมาที่ชั้นล่าง
ให้เรายื่น VC กับเจ้าหน้าที่ ที่เค้าท์เตอร์ที่สนามบิน
พอเช็คเสร็จแล้วเค้าจะให้คิวเค้าท์เตอร์ในสำนักงานมา
ซึ่งสำนักงานรับรถห่างจากสนามบินประมาณ 15 นาที
และจะมีรถรับส่งมารับรถเช่าด้านนอก
(บริการนี้ก็ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย)
ขาไปไม่เท่าไหร่ ขากลับเพื่อเวลากันหน่อยก็ดีนะคะ
เผื่อจะต้องขนของและเช็คสัมภาระ
สิ่งที่ต้องเตรียมสำหรับการเช่ารถ
1. ใบอนุญาตขับขี่ปัจจุบัน
2. ใบอนุญาตขับขี่สากล
3. Voucher การเช่ารถ ต้องปริ้นติดตัวไปด้วย
การทำใบขับขี่สากล
เอกสารที่ต้องใช้ในการทำใบขับขี่สากล
– สำเนาหนังสือเดินทาง หรือพาสปอร์ต
เล่มที่ใช้ในการเดินทางต่างประเทศ
ประวัติหน้าที่แก้ไข (พร้อมฉบับจริง)
ต้องเป็นหนังสือเดินทางที่ยังไม่สิ้นอายุ
– บัตรประจำตัวประชาชน (ฉบับจริง) ที่ยังไม่หมดอายุ
– สำเนาและฉบับจริงของใบขับขี่รถยนต์
หรือใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล (ชนิด 5 ปี) หรือตลอดชีพ
– รูปถ่าย 2 นิ้ว จำนวน 2 รูป
ต้องเป็นรูปถ่ายของคุณที่มีอายุไม่เกิน 6 เดือน
ถ่ายรูปหน้าตรง ไม่สวมหมวกหรือสวมแว่นตาสีเข้ม
ไม่มีภาพวิวหลังรูป
เหมือนภาพติดบัตรเท่าไปจ้า
– ถ้าเปลี่ยนชื่อนามสกุล
ควรสำเนาหลักฐานการแก้ไขชื่อและสกุลไปด้วย
– หลักฐานอื่น ๆ เช่น ทะเบียนสมรสหรือใบหย่า
– ค่าธรรมเนียมใบขับขี่ระหว่างประเทศ
จำนวน 505 บาท
การขอใบขับขี่ระหว่างประเทศที่สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร
พื้นที่ 1 – 5 มีพิกัดตามนี้
สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1
พิกัด : ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล
แขวง ท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร 10150
สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 2
พิกัด : 51 ซอย สวนผัก 4
แขวง ตลิ่งชัน เขตตลิ่งชัน กรุงเทพมหานคร 10170
สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 3
พิกัด : 2479 สุขุมวิท 62/1
แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร 10260
สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 4
พิกัด : 34 หมู่ 6 ถนน ร่วมพัฒนา
แขวง ลำต้อยติ่ง เขต หนองจอก กรุงเทพมหานคร 10530
สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 5
พิกัด : 1032 อาคาร 5 กรมการ ขนส่ง ทาง บก
ซอย พหลโยธิน 18 แขวง จอมพล เขตจตุจักร
กรุงเทพมหานคร 10900
ต่างจังหวัด
สามารถขอใบขับขี่ระหว่างประเทศได้ที่สำนักงานขนส่งทั่วไทย”
ชำระค่าธรรมเนียม 505 บาท
แค่นี้เราสามารถขอใบขับขี่รถยนต์สากลได้เลย
อ้อๆๆๆ อิ้มไปสาขาจตุจักร เร็วๆ มาก
ใช้เวลาดำเนินการไม่ถึงยี่สิบนาที
ก็ได้ใบขับขี่สากลออกมาเลย
แต่หาที่จอดรถยาก ควรไปเช้าหน่อยก็ดีค่ะ
เวลาทำการ 08.00 – 15.00 น. วันจันทร์ – ศุกร์นะคะ
ช่วงนี้ชี้แนะ !!
เราจะต้องซื้อ บัตร ETC เพิ่ม !!
บัตร ETC อารมณ์เหมือนบัตร Easy Pass บ้านเรา
ย่อมาจาก (Electronic Toll Collection)
คือระบบที่ช่วยให้สามารถจ่ายค่าทางด่วน
โดยไม่ต้องหยุดรถ
ด้วยการสื่อสารไร้สายระหว่างเสาอากาศ
ซึ่งติดตั้งอยู่ที่ด่านเก็บค่าผ่านทาง
กับบัตร ETC (IC card)
ที่เสียบอยู่ในเครื่องเสียบบัตรภายในรถ
เวลาเราผ่านช่องด่าน
ก็เข้าช่อง ETC ได้เลย ก็จะสะดวกปรื้ดดด
แต่เราจะใช้ บัตร ETC อย่างเดียวไม่ได้นะ
เพราะค่าทางด่วนที่ญี่ปุ่นแพงมาก
เที่ยวนึงก็ตก 2,000-5,000 เยน
ต้องซื้อพาส Hokkaido Expressway Pass เพิ่ม
เป็น Pass ที่เหมาจ่ายค่าทางด่วน
มีให้เลือกตั้งแต่ 2 – 14 วันให้เราเลือก
ยิ่งเช่าหลายวัน ราคายิ่งถูกลง
และต้องใช้คู่กับบัตร ECT นะ
สามารถติดต่อหน้าเค้าท์เตอร์ขอซื้อเพิ่มได้เลย
แจ้งว่า Hokkaido Expressway Pass
เค้าก็จะเอาตารางราคามาให้ดูจ้า
สำหรับราคา Hokkaido Expressway Pass ก็ตามนี้เลย
อิ้มใช้ 5 วันก็ 6,700 เยน เฉลี่ยเป็นวันก็ตก
1,340 เยนเท่านั้น หารหกคนคนละ 223 เยน ต่อวัน
หกวันจ่ายไปคนละ 1,338 เยน ประหยัดมากกก
สามร้อยกว่าบาท แม่จ้าวว
แต่ไม่รวมค่าบัตร ETC นะ
ค่าบัตร ETC ก็ประมาณ 324 เยน หรือร้อยกว่าบาท
บัตรนี้ใช้เสร็จก็ห้ามเอากลับนะจ้ะ
คืนเค้าไปเลยค่ะ
การรับรถจะต้องใช้เวลานานนิดนึงนะคะ
เพราะต้องกรอกข้อมูลอย่างละเอียด
และต้องดูวิดีโอ
เพื่อศึกษาการชับรถที่ญี่ปุ่นได้อย่างถูกต้อง
เสร็จแล้วค่าาาา ออกมารับรถได้เลย
อิ้มเช่ารถรุ่น WA
– ประเภทรถยนต์: โตโยต้า Noah,
มิตซูบิชิ Delica หรือประเภทที่คล้ายกัน
– ความจุ: สูงสุด จำนวนผู้โดยสาร 8 คน
และกระเป๋าเดินทาง 5 ใบ
ไปหลายคนยิ่งถูก อิ้มไปกันหกคน
และกระเป๋าเดินทางใบใหญ่หลายใบ
เช่ารถคันใหญ่แบบนี้จบ สะดวกสบายมากๆ
ราคาเช่าต่อวันอยู่ที่สองพันกว่าๆ ราคาเช่ารถจะรวม
✔ประกันภัยแบบปกติ (Compensation Disclaimer Insurance)
✔ภาษี
✔เบาะเสริมสำหรับเด็กเบาะที่ 1
✔ระบบนำทางหลายภาษา
✔ ยางสำหรับขับบนหิมะ (พ.ย. – เม.ย.)
และไม่รวม
❌ค่าธรรมเนียมทางด่วน ETC
❌ ประกัน Safety Pack Insurance (2,160 เยนต่อวัน)
❌ ค่าน้ำมัน
❌ บัตรทางด่วนฮอกไกโด (Hokkaido Expressway Pass)
❌ ค่าเช่าเบาะเสริมสำหรับเด็กเพิ่มเติม (1,080 เยน/เบาะ)
❌ บัตร ETC card (324 เยนต่อใบ)
❌ ค่าธรรมเนียมคืนรถต่างสาขา (ชำระ ณ สถานที่จริง)
ตอนออกมารับรถ
จะมีเจ้าหน้าที่มาแนะนำการใช้งานอย่างละเอียดเลยค่ะ
เจ้าหน้าที่น่ารักมากกกก
ไม่ยากเลยสำหรับคนเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นครั้งแรกเหมือนอิ้ม
ออกเดินทางแล้วค่าาาเย้ๆๆๆๆ
กว่าจะเสร็จภารกิจวันแรกก็แทบไม่ทันเที่ยวแล้วค่ะ 5555
เพราะว่าอิ้มมา 8 วันใช่ไหมคะ
วันแรกอิ้มก็แพลนเที่ยวออกนอกเมืองก่อน
แล้ววันสุดท้ายก่อนกลับก็เที่ยวในเมือง
ช็อปปิ้ง ชิลๆ ก่อนกลับ
โดยแพลนการเดินทาง 7 วันของอิ้มมีดังนี้
Day 1
Don Mueang International Airport
-New Chitose Airport – Asahikawa – ร้าน Daikokuya
Day 2
Asahikawa – Blue Pond – Shirohoge Water Fall
Asahidake – Biei – Ningle Terrace
Day 3
Jozankai – Otaru
Day 4
Otaru – Noboribetsu – Onuma Park – Hakodate
Day 5
Hakodate Morning Market – Toya Lake – Sapporo
Day 6
Sapporo – Hokkaido University – Nanda Buffet
ร้าน Hachikyo
Day 7
Nakajima Koen – Hokkaido University
Former Hokkaido Government Office Building (Red Brick Office)
Sapporo Factory – Ishiya Chocolate Factory
Ramen Yokocho – Tanukikoji Shopping Street
Day 8
Sapporo – New Chitose Airport
– Don Mueang International Airport
โปรแกรมแน่นทุกวันบอกเลยยย 555
ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
ในเมืองอุณหภูมิจะอยู่ที่ 5-15 องศา
บนยอดเขา อุณหภูมิจะอยู่ที่ 0 -15 องศา
เตรียมเสื้อผ้าหน้าผมให้พร้อมนะคะ
แต่สำหรับอิ้ม หนาวไม่หนาว
พร้อบชั้นต้องแน่นไว่ก่อน อิอิ
และจะเช้าไว และ 5 โมงเย็นก็เริ่มมืดแล้วจร้าาา
แพลนวันแรกก็คือ New Chitose Airport – Asahikawa ขับรถยาวๆ 2 ชั่วโมง
มาถึงก็มือพอดีค่ะ เข้าเช็คอินโรงแรมกันดีกว่าเน๊อะ
อิ้มพัก Court Hotel Asahikawa 2 คืน
คืนละ 1,310 บาทสำหรับสองคน ไม่รวมอาหารเช้า
ห้องก็มาตรฐานญี่ปุ่นค่ะ แต่ราคานี้อิ้มว่าถูกมากกก
ช่วงนี้มีสาระ !!!
ขอพูดเกี่ยวกับที่จอดรถที่ญี่ปุ่นหน่อยนะคะ
ขับรถที่ญี่ปุ่นจะจอดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ
ญี่ปุ่นจะมีการกำหนดจุดที่สามารถจอดรถได้
หากจอดรถในที่ห้ามจอด
จะถูกล็อคล้อและต้องเสียค่าปรับ
จุดที่สามารถจอดรถได้
– ที่จอดรถหยอดเหรียญ
ที่จอดรถซึ่งคิดค่าจอดตามหน่วยเวลา 1 ชั่วโมง
หรือ 15 นาที, 30 นาที ไปจนถึงเหมา 24 ชั่วโมง
ชำระค่าจอดที่เครื่องคิดค่าจอดรถ
– มิเตอร์ที่จอดรถ
ถนนที่มีมิเตอร์ที่จอดรถ
สามารถจอดรถได้ในระยะเวลาที่กำหนด
ในพื้นที่ที่ระบุไว้
ต้องชำระค่าจอดรถด้วยเหรียญ 100 เยนเท่านั้น
หากจอดรถเกินระยะเวลาที่ระบุไว้จะถือว่าผิดกฎ
– ที่จอดรถแบบเสียค่าบริการ
ที่จอดรถซึ่งอยู่ในย่านกลางเมือง
หรือห้างสรรพสินค้า
หากซื้อของอาจจอดรถได้ฟรีหรือมีส่วนลด
– ที่จอดรถในสถานที่ท่องเที่ยว
สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังเกือบทั้งหมด
จะมีที่จอดรถให้บริการ
บางแห่งอาจเสียค่าบริการ
และโรงแรมส่วนมากก็จะมีค่าที่จอดรถค่ะ
ซึ่ง Court Hotel Asahikawa ที่อิ้มพัก
ที่จอดรถเต็ม ก็เลยมาจอด
ที่จอดรถหยอดเหรียญ ใกล้ๆ โรงแรม
คืนละ ประมาณ 1500 เยน จ้า
เก็บกระเป๋ากันแล้วก็ออกไปหามื้อเย็นทานกันดีกว่า
เย็นวันนี้เรามากินเมนูขึ้นชื่อ
ของ Asahikawa กัน
จริงๆ เป็นเมนูฮิตของเกาะฮอกไกโดทั้งเกาะเลยก็ว่าได้ 555
ก็คือแกะย่างแบบเจงกิสข่าน
ร้านที่จะพามาทานก็คือ Daikokuya
ร้านนี้เป็นร้านดังมากๆ
มีที่ Asahikawa ที่เดียว
และมี 2 สาขาใกล้ๆกัน
สาขาแรกจะเล็กหน่อยติดถนนใหญ่
สาขาที่สองอยู่ในซอย แต่กว้างกว่า
อิ้มทานสาขาที่ 2 นี้ค่ะ
Daikokuya (成吉思汗 大黒屋 支店)
เปิด : 16.30-23.30 (last order 23.00)
เบอร์ : 0166-25-2424
บรรยากาศในร้านก็มีที่นั่งหลากหลาย
อิ้มเลือกนั่งชั้นสอง
เป็นโต๊ะแบบญี่ปุ่น บนโต๊ะก็จะมีเตาให้เราแบบนี้ค่ะ
ตอนแรกเค้ายื่นเมนูแบบนี้มาให้ สงสัยจะหน้าเหมือนคนญี่ปุ่น 5555
อิ้มเลยบอกไปว่า เอกซ์คิ้วววมี อิงลิช เมนู พลีสสสส
ถึงจะได้เมนูภาษาอังกฤษมา 5555
ร้านนี้จะมีเฉพาะเนื้อแกะ อย่างเดียวนะ
เป็น A La Carte มีให้เลือกประมาณ 5 แบบ
ราคา ก็จะมีตั้งแต่ 700 เยน ไปจนถึง 900 เยน
สั่งเนื้อเสร็จเราก็สั่ง สลัด, ข้าว และของหวาน เพิ่มได้
ผักที่ย่าง ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายนะ สั่งเพิ่มได้เลยจ้า
ราคานี้รวมแท็กแล้ว
น้ำจิ้มจะเป็นสีดำๆ แบบนี้ค่ะ
เค้าจะลงถั่วงอกให้เราตู้มๆ แบบนี้ก่อนเลย
เนื้อแกะของเรามาแล้วววว
หอมมากกกกกกกกก
จะบอกว่าเบียร์ร้านนี้อร่อยมากกก
ทานคู่เบียร์อย่างฟิน
จะบอกว่าฟินมาก ร้านนี้แกะอร่อยจริงจัง
อร่อยแบบควรค่าต้องไปกิน
และต้องสั่งเบียร์ด้วยนะ
หลายคนอาจจะคิดว่าเป็น A La Carte ราคาจะแรงใช่ไหม
แต่อิ้มสั่งไปหลายจานมากก และข้าว และเบียร์ด้วย
หมดไปประมาณ เก้าพันเยน
หารกันตกคนละ 1500 เยน คนละ 400 กว่าบาท
ฟินมากกกก อิ่มจุกมากกก
อิ่มล๊าวววกลับไปนอนเตรียมตัวเที่ยวต่อวันพรุ่งนี้ค่ะ
Day 2
Asahikawa – Blue Pond – Shirohoge Water Fall
Asahidake – Biei – Ningle Terrace
สำหรับ Day 2 แพลนก็จะแน่นๆ หน่อยนะ
เพราะเราขับรถเที่ยว จะสบายหน่อย
อิ้มออกเดินทางตั้งแต่ประมาณ 7 โมงเช้าเลยค่ะ
รีบมากกกก เพราะมืดเร็วมากก
จะบอกว่าระหว่างทางสวยมากกก อิ้มกดชัตเตอร์เป็นร้อย ตั้งแต่ยังไม่ถึงไหนเลย
ถึงแม้บางส่วนจะร่วงไปแล้ว แต่ก็ยังสวยมากอยู่
ธรรมชาติดีสุด
ระหว่างทางไป สระน้ำสีฟ้า (Blue Pond)
และแล้วเราก็มาถึง Blue Pond ค่ะ ขับจากโรงแรมมาประมาณ 1 ชั่วโมง
บ่อน้ำสีฟ้า Blue Pond (Aoi-ike / 青い池)
ตั้งอยู่ในเมืองบิเอะ (Biei / 美瑛)
ของจังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido / 北海道)
เป็นบ่อน้ำที่ถูกกักไว้จากการสร้างเขื่อน
เพื่อป้องกันโคลนถล่มบริเวณภูเขาไฟในแถวนั้น
การที่น้ำในบ่อมีสีฟ้าสดกว่าบ่อน้ำทั่วไปๆ ก็
เป็นเพราะอลูมิเนียมไฮดรอกไซด์
จากการปะทุของภูเขาไฟที่อยู่ในน้ำ
ได้สะท้อนกับแสงแดดที่ส่องลงมา
เราสามารถมาเที่ยวที่นี่ได้ตลอดทั้งปี
ซึ่งความสดใสของสีฟ้าจากผืนน้ำ
จะขึ้นอยู่แสงแดดที่ส่องลงมาและจุดที่มอง
บางวันอากาศไม่ดีน้ำก็จะไม่เป็นสีฟ้ามาก
ตาสำหรับในช่วงฤดูหนาวนั้น
น้ำในบ่อจะแข็งกลายเป็นทุ่งหิมะสีขาวโพลน
น่าจะสวยงามมาก
ในช่วงหน้าหนาวยังมีการจัดฉายไฟสีฟ้าที่บ่อน้ำ
ในช่วงกลางคืนหรือที่เราเรียกว่า
Winter Illumination
ใครมีเวลาลองไปชมการแสดงไฟของบ่อน้ำสีฟ้า Blue Pond
ได้เลยนะคะ
ตารางการจัด Winter Illumination
• ปี 2019-2020 : 1 พฤศจิกายน 2019 – 30 เมษายน 2020
ตรงนี้จะมีมุมถ่ายรูปมุมอื่นๆ ด้วย เดินเที่ยวช่วงเช้าจะไมร้อน อากาศเย็นสบายและคนไม่เยอะ
ต่อมา Shirohoge Water Fall ที่นี่ห่างจาก Blue Pond ประมาณ 3.1 กม.
น้ำตกที่นี่จะเป็นสีฟ้าเช่นกัน
ซึ่งเกิดจากน้ำมีสารอลูมิเนียมไฮดรอกไซต์เจือปน
สีของน้ำจะแตกต่างกันไป
ตามแต่สภาพอากาศและแสงแดด
แต่วันที่อิ้มมาแดดดี เป็นน้ำตกที่สวยงามมาก
แวะถ่ายรูปไม่ถึง ยี่สิบนาที เราก็เดินทางกันต่อค่ะ
เรากำลังจะมุ่งหน้าไป Asahidate ขับรถไปประมาณ 1 ชั่วโมง
ขับมาครึ่งทางไปเจอเขื่อน Chubetsu เลยแวะถ่ายรูปอีกหน่อย
ขับรถเที่ยวเองมันดีต่อใจ ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ มนการท่องเที่ยวเยอะมาก
เขื่อน Chubetsu
ใบไม้เปลี่ยนสีกำลังเหลืองสวยเลย แชะภาพสักหน่อย
เสร็จแล้วเราก็มุ่งหน้าไปยัง Asahidake Ropeway เขาที่เห็นไกลๆ นั่นไง
แอบภาวนาให้มองเห็นหิมะบ้าง
การมาเที่ยวที่นี่เราสามารถดูกล้อง Live Cam ได้เลยนะ
หากดูแล้วอากาศไม่ดีก็ไม่ต้องมา
จะได้ไม่เสียเวลาค่ะ
http://asahidake.hokkaido.jp/th/
Mt.Asahidake
เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะฮอกไกโด
ซึ่งมีความสูงถึง 2,290 เมตร
เป็นยอดเขาสุดฮิตของนักท่องเที่ยวที่ชอบธรรมชาติ
ที่นี่มีเส้นทางเดินชมศึกษาธรรมชาติ
ทั้งแบบระยะใกล้ และระยะไกล
เหมาะกับสายเทรลสุดๆ
โดยนิยมมาเที่ยวกันในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี
เดือนกันยายน-เดือนตุลาคม
และที่ยอดเขานี้จะเริ่มมีหิมะปกคลุม
ในช่วงปลายเดือนตุลาคม
ซึ่งจะมีหิมะตกเป็นที่แรกๆ ของฮอกไกโด
การจะขึ้นไปด้านบน
เราต้องซื้อตั๋ว ขึ้น กระเช้า
ราคาไป-กลับ ช่วงที่อิ้มไป 1,800 เยนสำหรับผู้ใหญ่
(ช่วงกลางเดือนตุลามคม – เดือนพฤษภาคม)
เสร็จแล้วก็ขึ้นมาด้านบนได้เลยค๊าา
กระเช้าจะมีทุกๆ 20 นาที ทั้งขาไปและกลับ
และจะใช้เวลาขึ้น-ลง ประมาณ 10 นาทีต่อเที่ยว
ด้านบนมีความหนาวมากกกกกกกกกก
เราจะต้องเดินไปเรื่อยๆ ค่ะ เพื่อไปให้ถึง View Point
หนาวมาก มีน้ำแข็งเกาะตามใบไม้เต็มไปหมด
ทางเดินไปกลับจะใช้เวลาอยู่ราวๆ 1 ชั่วโมง
แต่เราเดินไปถ่ายรูปไป ก็จะช้าๆ หน่อย
ถึงแล้วค๊าาา มุมยอดฮิต
จริงๆ จะเดินไปอีกก็ได้นะคะ มันต้องเดินให้สุด
แต่อิ้มส่งน้องเดินไป น้องบอกว่ามุมนี้อ่ะสวยสุดละ 555
แต่เอาจริงๆ ถ้าไหวควรเดินไปให้สุดทางนะ อย่ามาถึงแค่จุดที่อิ้มยินอยู่
แต่ด้วยอากาศที่หนาว และสภาพร่างกายไม่ไหว ขออยู่แค่ตรงนี้ก็พอ
แค่มุมนี้ก็สวยมากแล้ว เป็นภาพที่ประทับใจมากๆ แล้ว
เสร็จจาก Asahidake แล้ว
เราก็ขับรถต่อมายังบิเอะ
ส่วนตัวอิ้มชอบเส้นทางสายนี้มาก
บิเอะ เป็นเมืองเล็กๆ
ที่ตั้งอยู่ระหว่างเมืองอาซะฮิกาวะ (Asahikawa)
กับฟุระโนะ (Furano)
ภูมิทัศน์ส่วนใหญ่เป็นท้องทุ่งสลับเนินเขา
จุดเด่นของเมืองนี้คือ ต้นไม้ และทุ่งหญ้า
ใช่แล้ว คุณอ่านไม่ผิดจ้า
เมืองนี้เป็นเมืองเกษตรกรรม
มีการเพาะปลูกข้าวบาร์เลย์
และพืชผลนานาพันธุ์
สลับผลัดเปลี่ยนกันไปตามฤดูกาล
เช่น ข้าวโพด มันฝรั่ง ฟักทอง เมลอน ฯลฯ
ซึ่งแต่ละฤดูจะมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป
ระหว่างขับรถวิวสองฝั่งทางบอกเลยว่า
สะกดตา สะกดใจมาก
วิวทิวทัศน์เป็นท้องทุ่งสลับแนวทิวเขา
ลดหลั่นไล่ระดับตามแสงและเงา
ทอดยาวไปจนไกลสุดลูกหูลูกตา แบบ Panorama
เรียกว่าถูกอกถูกใจบรรดาช่างภาพสายแลนด์สเคปแน่นอน
การเดินทางท่องเที่ยวเมืองบิเอะ
ที่แนะนำคือเช่ารถยนต์ขับเที่ยวรอบตัวเมือง
ชมเส้นทางอันสวยงามที่เรียกว่า Patchwork
ตลอดเส้นทางสาย Patchwork
ที่มีความสวยงามราวกับผ้าหลายผืน
มาตัดปะวางต่อกันเป็นระยะทางยาว
จะสวยเป็นพิเศษในช่วงฤดูร้อน
อิ้มมาที่นี่ทั้งหน้าร้อน และฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
ชอบทั้งสองฤดู สวยงามมากจริงๆ
จุดชมวิวระหว่างทางที่น่าสนใจ
คือ ต้นเคน และแมรี่ (Ken & Mary Tree)
ต้นเซเว่นสตาร์ส (Seven Stars Tree)
ต้นพ่อแม่ลูก (Parents and Child Tree)
เนินเขาไมลด์เซเว่น (Mild Seven Hill)
รอบนี้อิ้มไม่ได้แวะทุกจุด
เนื่องจากเคยมาตอนหน้าร้อน
และเริ่มค่ำ กลัวจะไปอีกทีนึงไม่ทัน
เลยเก็บภาพมาฝากคร่าวๆ ตามนี้ค่ะ
ต้นเคนแอนด์แมรี่ (Tree of Ken and Mary)
ต้น Seven Star Tree
เอาจริงๆ ต้นพวกนี้ไม่ใช่นะ แต่มันเรียงกันสวยซะจนอิ้มคิดว่าใช่
ของจริงมีเพียงต้นเดียว ตั้งอยู่มุมนึงของถนน ซึ่งอิ้มไม่ได้ถ่ายมาจ้า 555
ต้องให้อภัยตัวเองแล้วแหละ เพราะถนนเส้นนี้สวยจริงๆ หันไปทางไหนก็ถ่ายภาพได้ทุกมุม
เพราะทุกวันคือรัยเวย์ ><
ถ่ายให้สุดแล้วหยุดที่รถมา >, <
เห็นบ้านแถวนี้ แล้วอยากมาอยู่แบบนี้จัง
ตื่นมาแค่อยากเจออะไรแบบนี้
วิวเมืองนี้สวยมาก อิ้มกดชัตเตอร์ไม่ยั้งเลย
มุมนี้สวยราวกับภาพในฝัน
นี่เป็นแค่ส่วนนึงของเส้นทางนะ
ถ้ามีเวลาขับรถเที่ยวทั้งวัน
จะถ่ายภาพได้อีกหลายมุมเลยค่ะ
ใกล้ค่ำ เรารีบออกเดินทางต่อไปที่
นิงเกิ้ลเทอเรส(Ningle Terrace)
Ningle Terrace
ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงแรม New Furano Prince Hotel
ภายในเมืองฟูราโน่ (Furano)
ของฮอกไกโด(Hokkaido)
นิงเกิ้ลเทอเรสเป็นหมู่บ้านขนาดเล็กๆ
ที่มีของที่ระลึกน่ารักๆ งานฝีมือ
สินค้าแฮนด์เมดเยอะมากมาย
การออกแบบเค้าน่ารักมากๆ
เค้าทำเป็นกระท่อมไม้เล็กๆ
ท่ามกลางป่าที่ร่มรื่น
ทางเดินในหมู่บ้านเป็นสะพานไม้
และในช่วงเย็นๆ ค่ำๆ เค้าจะเปิดไฟสีส้ม ดวงเล็กๆ
บรรยากาศ แบบนี้ อากาศแบบนี้
โรแมนติกที่สู้ดดด
ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ยิ่งสวยงามมาก
ช่วงค่ำๆ เปิดไฟแบบนี้ยิ่งโรแมนติก
เป็นหมู่บ้านที่น่ารักมากๆ ควรมาปักหมุด เช็คอินถ่ายภาพค่ะ
Day 3
Jozankai – Otaru
เช้าวันที่ 3 เรารีบเช็คเอาท์จากที่พัก
Court Hotel Asahikawa
และมุ่งหน้ามายังโจซังเค ออนเซ็น
(Jozankei Onsen, 定山渓温泉)
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
โจซังเค ออนเซ็น
ตั้งอยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติชิโกะซุ โทยะ
(Shikotsu-Toya National Park)
ภายในซัปโปโร (Sapporo)
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว
ที่ได้รับความนิยมจากเหล่านักท่องเที่ยวมากๆ
เดินทางจากตัวเมืองซัปโปโรได้ในเวลา 1 ชั่วโมงเท่านั้น
เป็นเมืองที่ควรค่ากับการมาแช่ออนเซ็น
และนอนค้างสักคืน
แต่เสียดายอิ้มเวลาน้อย จึงแวะมาเที่ยวถ่ายภาพเฉยๆ ค่ะ
ช่วงที่สวยที่สุดของใบไม้เปลี่ยนสี น่าจะเป็นกลางเดือนตุลาคม
ช่วงที่อิ้มไปเกือบร่วงหมดแล้ว แต่ก็ยังสวยงามอยู่มากทีเดียว
ใครสนใจจะแช่ออนเซ็น
ก็มีหลากหลายวิธีนะคะ
ถ้าพักที่นี่ก็แช่ที่เรียวกังหรือโรงแรมของตัวเองได้เลย
แต่ถ้าไม่พัก ก็ไปแช่ออนเซ็นตามเรียวกังต่างๆ ได้
จะมีค่าใช้จ่าย 500-2000 เยน
หรือจะมาแช่เท้ากรุบกริบ
ที่บ่อสาธารณะก็ได้เช่นกัน
แต่อิ้มคนมีเวลาน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัด TT
เสร็จจาก โจซังเค อิ้มก็มุ่งหน้าไปที่โอตารุ ใช้เวลาเดินทางประมาณ
1 ชั่วโมง 10 นาที
ตอนแรกกะจะมาหาอะไรทานใน Otaru Denuki – koji
เป็นศูนย์อาหาร ขนาดย่อม มีหลากหลายร้านให้เลือกทาน
แต่ช่วงกลางวันดูจะปิดหลายร้าน อิ้มเลยย้ายไปทานในโกดัง
เข้ามาตรงโกดังก็จะเจอร้านนี้ค่ะ เป็นร้านราเมง
มีหลากหลายเมนูให้เลือกทานและราคาย่อมเยาว์
Ramen With Miso Butter Corn Based Soup
Ramen and Ikura ‘s Small Bowl Set
อิ้มเลือก ราเมง เป็น Ramen With Miso Soup
เค้าจะเสิร์ฟพร้อมข้าวหน้า Ikura ถ้วยเล็กน่ารัก
ทานอิ่มแล้วก็มีพลังเดินเล่นกันต่อในโอตารุค่ะ
โอตารุ(Otaru)
เมืองท่าสำคัญของเกาะฮอกไกโด
อยู่ไม่ไกลจากซัปโปโร
สามารถเดินทางไปได้ภายในเวลาเพียง 25 นาที
จึงกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมอีกเมืองหนึ่ง
จุดที่ตั้งของตัวเมือง
สามารถมองเห็นอ่าวอิชิกะริที่อยู่ด้านหน้า
ทัศนียภาพเทือกเขาที่ล้อมรอบ
งดงามราวกับเป็นเมืองแห่งความฝัน
อาคารบ้านเรือนที่ยังคงอนุรักษ์
ตามลักษณะดั้งเดิม
ที่นี่จะสวยมากในช่วงฤดูหนาว
เพราะบรรยากาศจะโรแมนติกมาก
หิมะตกโปรยปราย
เดินชมความงดงามเรื่อยๆคลองโอตารุ
พร้อมจิบเบียร์โอตารุ
แหมมมจะมีอะไรฟินไปกว่านี้ล่ะ
แต่สำหรับคนไทยอาจจะชอบที่นี่
เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่
ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแฟนเดย์
อันโด่งดังและกระชากน้ำตาใครไปหลายๆ คน
รวมถึงอิ้มด้วย 5555
บ้านเรือนสวยงาม และ ร้านค้าเยอะมากกกก
เมืองนี้ขนมอร่อย มีทั้งไอติม 7 ชั้น และ Le Tao ในตำนาน
ระหว่างทางคุณจะเจอกับดักเยอะมากกก ทั้งขนมและไอติม
ผลไม้แบบใส่ถาด ดูดีไฮโซสุดๆ
นอกจากขนม ก็ยังมีตุ๊กตา และของชำร่วยน่ารักๆ
ใครไม่อยากเดินจะลองนั่งรถม้าชมเมืองก็เริ่ดไม่น้อย
มาชิมไอติมร้านนี้กันต่อค่ะ
อร่อย เจ้มจ้นนนน
เดินต่อมายัง พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ
(Otaru Music Box Museum)
พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีโอตารุ
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์
ที่สำคัญของเมืองโอตารุ
จุดสังเกตของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้นั่นก็คือ
นาฬิกาไอน้ำโบราณสไตล์อังกฤษ
ที่ยังคงใช้งานได้มาถึงปัจจุบัน
และเหลือเพียง 2 เรือนในโลกเท่านั้น
ภายในอาคาร มี 3 ชั้น
มีการจัดแสดงกล่องดนตรีโบราณ
และหลากสไตล์กว่า 25,000 ชิ้น
อีกทั้งยังมีส่วนจัดแสดงตุ๊กตาคาระกุริ
(Karakuri dolls)
อันเป็นตุ๊กตาแบบดั้งเดิมของยุคศตวรรษที่ 17
ถึงศตวรรษที่ 19 ที่หาดูได้ยากมากๆ
ให้ได้ชมอีกด้วย
ใครที่ติดใจอยากได้กล่องดนตรีกลับบ้าน
ก็จัดได้เลย
เพราะที่นี่ยังมีส่วนที่เป็นร้านจำหน่ายกล่องดนตรี
แบบสั่งทำตามใจจะเอาตุ๊กตาตัวไหน
สีอะไร เพลงอะไรสั่งได้
ราคาก็สูงเอาเรื่องอยู่นะ
แต่ถ้าอยากจะไว้เป็นของที่ระลึกให้คนพิเศษ
แบบไม่เหมือนใคร มีรึจะจ่ายไม่ไหว อิอิ
และสำหรับคนไทย
นี่ก็เป็นอีกจุดที่สำคัญ
ในการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องแฟนเดย์
เป็นฉากที่ เด่นชัย
ทำกล่องดนตรีร่วงระเนราด
ใครมาเที่ยวตามรอยแฟนเดย์
ต้องไม่พลาดเข้ามาชมที่นี่นะคะ
อ้อๆๆๆ แต่ไม่ต้องไปทำแตกเหมือนพี่เด่นชัยนะ
เพราะราคาแต่ละชิ้น ไม่เบาจริงๆ
ในทุกๆ 15 นาที
นาฬิกาเรือนนี้จะส่งเสียงดนตรี
อันไพเพราะออกมาให้เราได้ยิน
เป็นอีกฉากในแฟนเดย์ที่พี่เด่นชัย
เสกคาถา ให้นุ้ยดูจร้าา
อิ้มลืมถ่ายภาพนิ่งด้านใน ไปชมในคลิปกันดูนะค๊าา
เดินไปอีกนิดก็จะเป็นท่าเรือ ยามเย็น เงียบสงบมาก
คลองโอตารุในตำนาน
จะให้ฟินควรมาช่วงเย็นๆ ค่ำๆ แต่คนอาจจะเยอะถ่ายภาพไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
คืนนี้อิ้มพักที่โอตารุ
กับโรงแรมที่มีชื่อว่า Hotel Sonia Otaru
โรงแรมทำเลดี ติดคลองโอตารุเลยจ้า
ราคาคืนละประมาณ 2,500 ++
ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและเทศกาล
และราคาไม่รวมอาหารเช้า
อิ้มพักที่นี่ 1 คืน เสริม Extra Bed 1 เตียง
และที่นี่ไม่มีบริการที่จอดรถนะคะ
ต้องจอดแบบหยอดเหรียญเช่นเคย
Day 4
Otaru – Noboribetsu – Onuma Park – Hakodate
สำหรับวันนี้อิ้มออกเดินทางแต่เช้าเช่นเคย
ขับรถยาวๆ ตั้งแต่โอตารุ ไปจนถึง
หุบเขานรกจิโงคุดานิ Jigokudani Noboribetsu
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
ก่อนถึงจะมี Family Mart เราก็จัดกาฟงกาแฟไปตามประสา
เอาจริงๆ ไม่ได้หิวนะ แต่เอามาเป็นพร้อบถ่ายรูป ><
และแล้วก็มาถึงค่ะ
เป็นอีกหนึ่งสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนต์เรื่องแฟนเดย์
ใครตามรอบแฟนเดย์อยู่ ต้องมานะ ส่วนตัวอิ้มคิดว่า ที่นี่สวยมาก
แต่ก็เหม็นมากเช่นกัน 5555
หุบเขานรกจิโงคุดานิ(Jigokudani noboribetsu )
อีกชื่อหนึ่งคือ “Hell Valley”
ตั้งอยู่เหนือย่านบ่อน้ำร้อนโนโบริเบทสึ
(Noboribetsu Hot Springs)
ภายในจังหวัดฮอกไกโด(Hokkaido)
นั่นหมายความว่านอกจากสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว
ที่นี่ยังเป็นหมู่บ้านออนเซ็นชั้นดี
ที่ควรมาพักผ่อน
เรียกได้ว่าเป็นหุบเขาที่มีความงดงาม
น้ำร้อนในลำธารของหุบเขาแห่งนี้มีแร่ธาตุกำมะถัน
ซึ่งก็เป็นแหล่งต้นน้ำของย่านบ่อน้ำร้อนโนโบริเบทสึ
ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้
ถือว่าเป็นช่วงยอดฮิต ใครต่อใครต้องแวะเวียนมาเที่ยว
จะให้ดีควรพักที่นี่ 1 คืน
เพื่อซึมซับบรรยากาศค่ะ
มาเที่ยวที่นี่ควรมาถึงเช้าหน่อย คนจะน้อย อิ้มไปถึงประมาณ 8 โมงเช้าค่ะ
ขอมโนว่าเป็นพระเอกนางซีรีย์ส์แพร้บบบ
จะถ่ายรูปให้ไม่มีคน รอจังหวะเลยค่ะ อิ้มยืนรอแต่ละจุดนานพอสมควร
เสร็จแล้วอิ้มก็เดินทางต่อไปยัง
อุทยานแห่งชาติโอนุมะ(Onuma Quasi National Park)
เดินทางต่ออีก 2 ชั่วโมง
ระหว่างทางก็จะมีวิวสวยๆ ให้เราได้เห็นตลอด
ถึงแล้วค่ะ อุทยานแห่งชาติโอนุมะ
(Onuma Quasi National Park)
อุทยานแห่งชาติโอนุมะ
(Onuma Quasi National Park)
เป็นอุทยานแห่งชาติ
ที่ใกล้กับตัวเมืองฮาโกดาเตะมากๆ
อยู่ห่างกันเพียง 20 กม
อุทยานแห่งนี้รวบรวมเอาความงดงามของธรรมชาติ
มาไว้ในที่เดียวกัน
เพราะมีทั้งทัศนียภาพที่งดงามของเกาะ
ทะเลสาบ และภูเขาไฟโคมะงาตาเกะ
(Mount Komagatake)
ไฮไลต์ของการท่องเที่ยวของที่นี่จะเป็น
“จุดระหว่างทะเลสาบโอนุมะ(Onuma)
และทะเลสาบโคนุมะ(Konuma)”
พื้นที่โดยรวมกว้างขวางมาก
ถ้าจะเที่ยวให้ทั่วต้องใช้เวลาเป็นวันค่ะ
จะให้ดีควรมีเวลาอยู่ที่ทั้งวัน และปั่นจักรยานชิลๆ
ค่าเช่าก็ 500 เยนต่อชั่วโมง และ 1,000 เยน ต่อวัน
นอกจากนั้นเค้ายังมีกิจกรรม
เยอะแยะมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นพายเรือแคนู เทนนิส กอล์ฟ ตกปลา
และตั้งแคมป์อีกด้วย
เป็นอุทยานที่ทั้งธรรมชาติสวยงาม
และกิจกรรมแน่น
มาเที่ยวที่นี่ไม่มีเบื่อแน่นอน
ที่สำคัญมุมถ่ายรูปเยอะมากกกก
เสร็จแล้วเราก็มุ่งหน้าต่อมายัง Hakodate ค่ะ
ขอเข้าที่พักก่อนน๊า
คืนนี้เรานอนที่ Hotel Paco
จองห้องพักมาสองพันกว่าบาท
จะบอกห้องกว้างมากกกก
เหมือนเป็น Service Apartment ดีๆ ที่นึงเลย
มีห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ มุมครัว
แถมที่จอดรถฟรีด้วยจ้า
มาฮาโกดาเตะ แนะนำพักที่นี่ คุ้มราคามากกก
เก็บกระเป๋าเสร็จเราก็มุ่งหน้าไปยัง โกดังอิฐแดงริมน้ำ
Red Brick Warehouses Hakodate
อิ้มนั่งรถแทรมไปค่ะ เที่ยวละ 200 เยน
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง แนะนำร้านนี้ค่ะ Lucky Pierrot
Lucky Pierrot
เป็นร้านเบอร์เกอร์เจ้าดังที่เมือง Hakodate
จังหวัด Hokkaido ที่ห้ามพลาด
เริ่มตั้งแต่หน้าร้านก็ต้องสะดุดตา
กับการตกแต่งของร้านที่ออกแนว Circus Style
ตัวตลกสีสันสดใสขนาดนี้
ส่วนเมนูอาหารนอกจากเบอร์เกอร์แล้ว
ทางร้านยังมีข้าวแกงกะหรี่ เบียร์
และของหวานน่าทานอย่างซอฟท์ครีม
น่าราคาน่าคบหาด้วยค่ะ
ร้านมีอยู่หลายสาขา นะคะ ลองดูเน๊อะว่าสะดวกสาขาไหน
เบอร์เกอร์เค้าอร่อยมากกกพูดเลย
อันนี้เป็น Signature ค่ะ ราคารวม Vat ประมาณ 1,200 เยน ถูกมากกก
อัดแน่นมากก มีทั้งแกงกะหรี่ หมูทอด ไก่ทอด ยกให้อีนั่งน้ำค่ะ 555
อิ่มแล้วมาเดินเล่นต่อที่
โกดังอิฐแดงริมน้ำ Red Brick Warehouses Hakodat
โกดังอิฐแดงริมน้ำ(Red Brick Warehouses)
ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำของอ่าวฮาโกดาเตะ
โกดังอิฐแดงของที่นี่เป็นเหมือนที่ช็อป ร้านอาหาร
และสถานบันเทิงที่ให้บรรยากาศเก่าๆ
ด้วยสิ่งก่อสร้างที่ดูคลาสสิก
เดิมทีที่นี่เคยเป็นคลังสินค้าอิฐสีแดง
ที่เคยใช้ค้าขายในปลายสมัยเอโดะ
ภายหลังจากที่ไม่ได้ใช้งานเป็นคลังสินค้าอีกต่อไปแล้ว
จึงได้ทำการปรับเปลี่ยน
เป็นเหมือนอเวนิวแบบปัจจุบันนี้ค่ะ
ก่อนนอนแวะมาช็อปปิ้งที่ร้านนี้ค่ะ
อยู่ใกล้ๆ กับโรงแรมเลย ของถูกมาก เสื้อผ้าราคาดีมาก
เป็นแบรนด์ที่ลดราคา
ร้านปิดประมาณ 1 ทุ่ม สายช็อปแนะนำเล้ยย
Day 5
Hakodate Morning Market – Toya Lake – Sapporo
วันนี้ตื่นเช้าเช่นเคยค่ะ
สถานีแรกอิ้มไปที่ตลาดเช้าฮาโกดาเตะ
(Hakodate Morning Market)
เป็นตลาดเช้าที่ค่อนข้างคึกคักเลยค่ะ
เค้าเริ่มทะยอยเปิดตีห้าครึ่ง
แต่จะคึกคักหลัง 7 โมงครึ่งเป็นต้นไป
เหมือนอิ้มมาเช้าเกิน 555
เรียกได้ว่าถ้าอยากหาอาหารทะเลสดๆ เด็ดๆ
หรืออยากมาสัมผัสวิถีชีวิตยามเช้า
ของชาวเมืองต้องไม่พลาดเลยนะคะ
ตลาดนั้นเต็มไปด้วยร้านขายอาหารทะเลสด
ไม่ว่าจะเป็น ปูอลาสก้าตัวใหญ่ๆ สดๆ
ไข่ปลาแซลม่อน และ Uni
หรือจะเป็นผลไม้ต่างๆ
นอกจากนั้นยังมีร้านอาหารมากมายให้ลิ้มลองทาน
สิ่งนึงที่ห้ามพลาดก็คือ ตกปลาหมึกสดที่ตลาดเช้าฮาโกดาเตะ ร้านอยู่ในตลาดเดินเช้ามาเลยค่ะ
ตกหมึกสดๆ ทานกันแบบสดๆ ราคาจะแล้วแต่วัน วันที่อื้มไปตัวใหญ่ อยู่ที่ 1,700 เยน
ต้องบอกก่อนนะว่าเป็ฯวัฒนธรรมการกินของบ้านเค้า ไม่ดราม่านะ
ตกมาได้ก็นำไปให้เค้าเพื่อทำซาชิมิค่ะ
ส่วนตัวอิ้มว่าสด หวาน กรอบ อร่อยมาก ทานคู่ขิงดองและโชยุ ฟิน
ต่อมาหาอะไรทานกันต่อ เป็นร้านข้าวหน้าปลาดิบค่ะ เสียดายไม่ได้ถ่ายหน้าร้านให้ดู
จัดให้หนักไปเลยค่าา
Uni สดหวานมากนะ ส่วนตัวฟินมาก
ขนาดถ้วยไม่ใหญ่มาก แต่สรรพสิ่งในถ้วยก็เยอะอยู่ แต่ไม่อิ่มจ้า
ใจจริงตั้งใจจะมาทานร้าน Uni ชื่อดังแต่เค้าเปิดเก้าโมงครึ่ง เสียใจหนักมาก
เลยต้องหา Uni ร้านข้างๆ ทาน อันนี้สดดีค่ะ หวานมากกกก อร่อยมากก
เสร็จแล้วเราก็เดินทางต่อไปที่ Lake Toya ขับรถชิลๆ ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง
ทะเลสาบโทยะ(Lake Toya)
เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่รูปวงกลม
มีเส้นรอบวงยาวประมาณ 40 กิโลเมตร
เกิดจากปากปล่องภูเขาไฟ
ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบชิโกสึ(Lake Shikotsu)
ทะเลสาบแห่งนี้มีความพิเศษตรงที่
น้ำจะไม่แข็งตัวในช่วงฤดูหนาว
ในหน้าร้อน อากาศก็เย็นสบาย
เหมาะสำหรับเดินเล่น ปั่นจักรยาน
หรือล่องเรือชมทิวทัศน์
(Boat Cruise on Lake Toya) อันงดงาม
กลางทะเลสาบมีเกาะเล็กๆอยู่ตรงกลาง
คือ เกาะนากาจิมะ(Nakajima Island)
รอบๆทะเลสาบมีโรงแรมหรู ออนเซนขนาดใหญ่
เปิดให้ใช้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก
ใครมีเวลาอิ้มว่าพักที่นี่สักคืนจะเริ่ดสุด
ช่วงใบไม้เปลี่ยนสี เงียบสงบและสวยงามมาก
อิ้มขับรถมาอีกหน่อยจะเจอจุดนี้ค่ะ บังเอิญมาก
ให้เสิร์ช Google Map ว่า
Toya Mizube No Sato Takarada Camping Ground
ตรงนี้เป็นลานกางเต้นท์ บางพักตากอากาศ
เปิดให้บริการเฉพาะหน้าร้อนเท่านั้น
น่าเสียดายมากๆ เพราะอิ้มว่าฤดูใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ก็สวยงาม
บ้านพักแต่ละหลังมีเตาบาร์บิคิวให้ด้วย น่ามาพักผ่อนสุดๆ
มีสวนสาธารณะให้เดินเล่นชิลๆ เงียบสงบมาก อิ้มชอบมาก
บรรยากาศเหมือนอยู่ยุโรปเลยค่ะ
จบ Road Trip 5 วันของเรา เสร็จแล้วอิ้มก็รีบนำรถเช่ามาคืน ให้ทันเวลา
อิ้มคืนที่ สาขา Sapporo Station North Exit
: เวลาทำการ: ทุกวัน 8:00 – 20:00 น.
ที่คืนรถจะอยู่ที่ APA Hotel TKP Sapporo-Ekimae
เสิร์ช Google Map มาได้เลยค่ะ
อ้อ ก่อนคืนรถก็อย่าลืมเติมน้ำมันให้เต็มถังนะคะ
วันที่ 5 -7 อิ้มนอนที่ Sapporo Park Hotel ยาวๆ 3 คืน
ห้องกว้างขวางดีค่ะ ราคาวันธรรมดาคืนละ 2,000++ แต่เสาร์ – อาทิตย์ 6 พันไปเลยจร้า 555
โรงแรมทำเลดีมาก อยู่ติดกับ Nakajimakoen
และติดสถานี Nakajimakoen Station เลยค่ะ
Day 6
Sapporo – Hokkaido University – Nanda Buffet
ร้าน Hachikyo
วันนี้ชิลๆ สบายๆ ค่ะ ตื่นสายได้ ตื่นปุ๊ปก็ลงมาถ่ายภาพ Nakajima Koen ปั๊ป
ติดกับโรงแรมเลย จะถ่ายตอนไหนก็ได้ อิอิ
สวนนากาจิมะ (Nakajima Koen)
เป็นสวนสาธารณะวิวดีบรรยากาศดีมากๆ
เป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมืองซัปโปโร
เป็นสวยสวยกลางเมืองที่
ใครๆก็สามารถมาสูดอากาศบริสุทธิ์ได้แบบไม่จำเจ
ภายในมหาวิทยาลัยฮอกไกโด
นอกจากจะเป็นมหาวิทยาลัยชื่อดังแล้ว
ช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี
ผู้คนยังทยอยมาชมอย่างล้นหลาม
เริ่มจากประตู Kita-jusanjo ไปจนถึง Ono Pond
ภายในมหาวิทยาลัยจะเต็มไปด้วยต้นแปะก๊วย
ขนาบสองข้างทางราวๆ 70 – 80 ต้น
จนถนนทั้งสายกลายเป็นสีเหลืองสวยงาม
วันนี้อิ้มมาถึงที่นี่สายไปหน่อย จริงๆ ไม่สายหรอก เกือบเที่ยงเลย 555
คนจะเยอะๆ หน่อย ถ่ายรูปไม่เวิร์คค่ะ
แล้วเราก็มาต่อที่
Seafood Buffet NANDA Sapporo
ร้าน NANDA (難陀)
เป็นร้านบุฟเฟต์อาหารทะเลในเมืองซัปโปโร
ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
และเป็นร้านยอดฮิตของคนไทย
มีเมนูภาษาไทย และพนักงานคนไทย
ให้บริการด้วยค่ะ
อาหารจัดเต็มมาก มีให้เลือกมากมายกว่า 130 เมนู
ทานได้ทั้ง ปู กุ้ง หอย ปลา เนื้อต่างๆ สลัด ซูชิ
ของหวาน และอีกนานาชนิด
การเดินทาง:
– นั่งรถไฟใต้ดิน
สาย Sapporo Subway Toho Line
มาลงสถานี Hosuisusukino
ออกประตูทางออกที่ 4
แล้วเดินประมาณ 1 นาที
– นั่งรถไฟใต้ดิน
สาย Sapporo Subway Namboku Line
ลงสถานี Susukino แล้วเดินประมาณ 4 นาที
เวลาทำการ:
Launch 11:00 – 16:00 น. (Last order 15:00 น.)
Dinner 16:00 – 22:00 น. (Last order 20:20 น.)
ราคาคอร์สอาหาร
Lunch Seafood Buffet
11:00 – 16:00 น. (Last order 15:00 น.)
All You Can Eat 70 Mins
(เครื่องดื่มเฉพาะซอฟดริ้งค์) 3,700 เยน
All You Can Eat with Alcohol 70 Mins
(เครื่องดื่มซอฟดริ้งค์และแอลกอฮอลล์) 4,700 เยน
Dinner Seafood Buffet
16:00 – 22:00 น. (Last order 20:20 น.)
All You Can Eat 100 Mins
(เครื่องดื่มเฉพาะซอล์ฟดริ้ง) 4,780 เยน
All You Can Eat with Alcohol 100 Mins
(เครื่องดื่มซอล์ฟดริ้งและแอลกอฮอลล์) 5,980 เยน
จริงๆ ไลน์ไม่ต่างกันนะ
ต่างกันแค่เวลา กลางวันจะทานได้แค่ 70 นาที
อิ้มว่ากลางวันก็โอเคค่ะ คนไม่เยอะด้วย
ไลน์อาหารบอกเลยว่าสุดมากกกก
อิ้มมาทานเป็นครั้งที่ 3 ติดใจสุดๆ
ไปทีไรทานเนื้อนี้ประมาณ 3 ชิ้น 555 คนเดียวนะ
เครื่องดื่มก็กดที่ตู้ได้เลยจร้าา
ซูชิก็ต้องทานนะเด็ดมาก
ลายตาสุดๆ ขอทานก่อนน๊าาาาา
ตัดภาพมาที่ตอนเย็นค่ะ
มื้อเย็นวันนี้อิ้มมาทานร้าน Hachikyo
เป็นร้านอิซากายะชื่อดัง
Hachikyo (Honten)
ร้านอิซากายะที่พิถีพิถันในการเลือกใช้วัตถุดิบในฮอกไกโด
โดยใช้ผลิตภัณฑ์ทางทะเลจากชิเรโตโกะ-ราอุสุเป็นหลัก
ด้วยคุณภาพชั้นเลิศของวัตถุดิบ
ทำให้ร้านนี้ไม่เพียงแต่เป็นที่ชื่นชอบในหมู่นักท่องเที่ยว
ยังเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มคนท้องถิ่นอีกด้วย
แล้วไฮไลท์ก็คือ “ซึกโกะเมชิ”
ข้าวหน้าอิคุระไข่ปลาแซลมอนดองเค็มชั้นเลิศจากฮอกไกโด
ที่ราดมาบนข้าวอย่างจุใจจนล้นออกมานอกชาม
เวลาเราสั่งเค้าจะมาราดไข่ปลาแซลมอนต่อหน้าเรา
พร้อมกับเสียงเชียร์ของพนักงาน
ให้เราเป็นคนบอกว่าพอ !!!
เค้าก็จะหยุดเทค่ะ
ปล. ร้านนี้ต้องจองล่วงหน้าก่อนเด้อ
แต่อิ้มไม่ได้จอง Walk in ไปแล้วฟลุ๊ค คนไม่มาตามคิวค่ะ
ราคา ซึกโกะเมชิ (เล็ก 1,850 เยน, กลาง 2,350 เยน, ใหญ่ 4,650 เยน)
อิ้มสั่งไซส์ใหญ่ไปเลยค่ะ เพื่อทุกคน ><
เวลาเรามาทาน อิซากายะ แบบนี้
เค้าจะเก็บค่าธรรมเนียมก่อนหัวละ 500 เยน (ราคาแล้วแต่ร้าน)
จริงๆ เป็นเหมือนค่า Appetizer อะไรประมาณนี้ค่ะ
และเมนูอาหารส่วนมากจะยังไม่รวมเซอร์วิสชาร์ต
เพราะฉะนั้นเวลาทาน ราคาก็จะสูงพอสมควร
บอกไว้ก่อนให้ทำใจก่อนมาทานนะคะ อิอิ
Appetizer ก็เป็นไข่ปลาแซลมอนก่อนเด้ออ
อันนี้เป็นเหมือนมันผสมวาซาบิ อร่อยดีค่ะ
มันอบ ทานคู่กับกลาร้าญี่ปุ่น เค็มๆ มันๆ ดีนะ
ปลาฮอกเกะผ่าครึ่งจากราอุสุ (ราคา 2,800 เยนขึ้นไป)
มาถึงเมนูไฮไลท์แล้วค่าาา เค้ามาทำให้เราที่โต๊ะเลย
ดูๆๆๆๆๆ ไซส์ใหญ่กับเล็กต่างกันมากกกก
บรรยากาศคึกคักสนุกสนานมาก ติดตามชมในคลิปนะคะ
มันใหญ่มากกกก ทานกันสี่คนอ่ะค่ะ 5555 หลับฝันดีไปเลย
Day 7
Nakajima Koen – Hokkaido University
Former Hokkaido Government Office Building (Red Brick Office)
Sapporo Factory – Ishiya Chocolate Factory
Ramen Yokocho – Tanukikoji Shopping Street
เดินทางมาถึงการเที่ยววันสุดท้ายแล้วนะคะ
วันนี้อิ้มเดินทางโดยรถไฟค่ะ
เค้ามีตั๋วรถไฟแบบ 1-Day pass
ที่สามารถใช้ในเมืองซัปโปโร
Subway 1-Day Card ราคา 830 เยน
สามารถนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินของซัปโปโรทั้ง 3 สาย
ได้โดยไม่จำกัดภายใน 1 วัน ซื้อที่ตู้ได้เลย
แต่อิ้มมาตรงกับวันที่เค้าลดราคาพิเศษเหลือ 520 เยน
ฟินไปค่ะ เราจะเดินทางโดยรถไฟทั้งวันเลยนะ
วันนี้อิ้มตื่นเช้าและเริ่มต้นที่ Nakajima Koen
อันนี้ไม่ต้องนั่งรถไฟ เดินลงมาจากรร ถึงเลย 555
และไปต่อที่ Hokkaido University
การเดินทาง นั่ง Subway มาลงที่สถานี Sapporo
แล้วออกทางออก North Exit
แล้วเดินต่ออีก 10 นาที เปิด Google Map เดินมาเรื่อยๆ เลยจ้า
ประตูนี้นะ เข้ามาได้เล้ยยย
อุโมงกิงโกะเป็นของเราแล้ววว
ยามเช้าจะสงบอะไรเช่นนี้
แนะนำให้มาแต่เช้าจะถ่ายรูปกลางถนนได้ เพราะหลัง 8 โมงไป จะมีรถเข้าออกเยอะค่ะ
สวยงามอร่ามตา 5555
อิ้มเดินต่อมายัง ศาลาว่าการเมืองฮอกไกโดหลังเก่า (ทำเนียบอิฐแดง)
ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี ที่นี่ก็สวยไม่แพ้ใคร
เดินต่อมาที่ หอนาฬิกาซัปโปโร (Sapporo Clock Tower) มันเดินถึงกันหมดเลยนะ
Sapporo Factory
มุมนี้ถ่ายรูปเกร๋มากเวอร์
กลับมาที่ Sapporo TV Tower
เป็นหอส่งสัญญานวิทยุและโทรทัศน์ในอดีต
เพราะเราจะนั่งรถไฟจาก Odori ไปโรงงานช็อคโกแล๊ต
จาก Odori Station
โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน Tozai Subway Line
ไปทางทิศตะวันตกลงที่สถานี Miyanosawa Station
(ใช้เวลา 15 นาที ค่าใช้จ่าย 280 เยน) แต่อิ้มใช้พาส ขึ้นฟรี
แล้วเดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
มาต่อกันที่ โรงงานช็อคโกแลตชิโรอิ โคอิบิโตะ Shiroi Koibito Park
ค่าเข้าชม: 600 เยน (เฉพาะด้านใน)
เวลาเปิด-ปิด: 9:00-18:00 (เข้าก่อน 17:00)
วันปิดทำการ: เปิดทุกวัน
มาแล้วอย่าลืมทานซอฟครีมน๊าาา
เสร็จแล้วเรากลับมาที่ตรอกราเมนค่ะ รอบนี้ชิมร้านนี้
ร้านนี้อร่อยมาก แต่ห้ามถ่ายภาพโดยใช้กล้องใหญ่นะคะ
พิกัด อยู่สุดซอยเลยค่ะ
เสร็จแล้วมาขึ้นชิงช้าสวรรค์ ชมวิวเมืองยามเย็น
ชิงช้าสวรรค์ยักษ์(Noria Ferris Wheel)
ตั้งอยู่บนชั้น 7 ของห้างสรรพสินค้า Norbesa
ที่นี่ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมืองซัปโปโรเลยนะคะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิวทิวทัศน์ของเมืองยามค่ำคืน อย่างฟิน
การเข้าชม
ค่าเข้าชม: คนละ 600 เยน
(ถ้าเหมาตู้กระเช้า 4 คน เหลือ 2,000 เยน)
เวลาเปิด-ปิด: 11:00-23:00
เป็นทริปที่อิ้มมีความสุข ประทับใจมากกก
แสงเย็นวันสุดท้ายก่อนกลับ
ยามค่ำคืนที่ Susukino
Day 8
กลับบ้านแล้วจ้าาาา บินกับนกสกูตตรงเวลาเป๊ะๆ ชอบจัง
อาหารบนเครื่องอิ่มอร่อยสุดๆ
ปิดท้ายรีวิวนี้ด้วยภาพประทับใจนะคะ จริงๆ ภาพมีเยอะมากกก
แต่ขอเลือกมาแบบคร่าวๆ แล้วกันค่ะ
รีวิวนี้ยาวหน่อย ขอบคุณที่อ่านจนจบนะคะ
รักคนอ่าน
******************************************************
ก่อนรีวิวนี้จะจบลง
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจนมาถึงบรรทัดนี้
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ขอบคุณทุกไลค์ ขอบคุณทุกแชร์
เป็นกำลังใจที่ดีในการทำรีวิวมากๆ
ถ้าชอบก็ฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะคะ
อัพเดทเรื่องกิน เช็กอินเรื่องเที่ยว ได้ที่นี่ psstory เรื่องราวดีๆในการเดินทาง
แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้านะคะ สวัสดีค่ะ
******************************************************
ช่องทางติดต่อเรา
http://www.psstorytrip.com
http://www.facebook.com/psstorytrip
http://www.instagram.com/psstorytrip
http://www.youtube.com/psstorytrip