ตามมาเที่ยวกันต่อกับ เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน : Day 3 กันนะคะ
ใครยังไม่ได้อ่านตอนสองเข้าไปที่ลิ้งค์นี้ได้เลย
https://psstorytrip.com/2018/08/26/kansai-airport-takayama-takayama-hokuriku-pass/
หลังจากที่เมื่อวานพาตะลุยชิมเนื้อฮิดะแบบชุดใหญ่ไปถึงสามร้านติด
วันที่สามช่วงเช้าอิ้มก็ยังวนเวียนอยู่ที่ Takayama
ตอนเช้าจะพาไปเดินเล่นที่ตลาด Miyagawa Morning Market ของ Takayama
หลังจากนั้น ทานสุกี้เนื้อฮิดะส่งท้าย ก่อนเดินทางไปหมู่บ้านมรดกโลก ชิราคาวาโกะ
หมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขา ที่นี่เปรียบเสมือนภาพในนิยาย
รอให้ใครหลายคนได้มาสัมผัส
สำหรับอิ้ม อิ้มมาพักผ่อนนอนค้างอ้างแรมที่นี่หนึ่งคืน
จะได้ซึมซับกับความสุขและบรรยากาศหมู่บ้านมรดกโลกแห่งนี้อย่างเต็มที่
มาพักที่นี่ไม่ผิดหวังจริงๆ ถึงราคาสูงหน่อย แต่ควรค่ามากกกกก
ตอนนี้ได้เวลาเที่ยวต่อกันแล้วกับรีวิวนี้
เที่ยวญี่ปุ่นหน้าร้อน : DAY 3 เที่ยวตลาดเช้า Miyagawa Takayama
และเดินทางต่อไปนอน Ryokan Kanja หมู่บ้านมรดกโลก Shirakawago
ตามไปเที่ยวด้วยกันนะค๊าาาาา
รับชมเป็นคลิปวีดีโอได้ที่นี่ อย่าลืมกด subscribe ไลก์ แชร์ กันด้วยนะค๊าาา
เช้าวันที่สาม อากาศที่ญี่ปุ่นในช่วงปลาย พ.ค ถึงต้น มิ.ย อยู่ราวๆ ไม่ถึงยี่สิบองศา
อากาศชิลมากกกกก
เช้าวันนี้ก่อนจะไปเที่ยว อิ้มก็มาที่ Bus station
เพื่อแลกตั๋วบัสและจองที่นั่งไปชิราคาวาโกะ
ซึ่งรอบรถก็สามารถดูได้ที่นี่นะคะ
https://www.nouhibus.co.jp/english/
อิ้มไปรอบ 12.50 น ก็จะมีเวลาเดินเที่ยวช่วงเช้าอีกหน่อยค่ะ
นอกจากนั้นอิ้มยังจองตั๋วเผื่อวันถัดไปคือนั่งรถ Nohi Bus จากชิราไปลง kanazawa
ทุกอย่างเสร็จสรรพเรียบร้อย อิ้มก็มุ่งหน้ามาที่ตลาดเช้า
จริงๆ ที่ Takayama เค้าจะมีตลาดเช้าด้วยกัน 2 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่คนละบริเวณกัน คือ
1. ตลาดเช้ามิกาวะ (Miyagawa Morning Market / 宮川朝市)
เป็นตลาดเช้าริมแม่น้ำมิยากาวะ (Miyagawa River)
สามารถเดินมาได้จากสถานี Takayama ใช้เวลาประมาณ 10 นาที
2. ตลาดเช้าจินยะมาเอะ (Jinya-mae Morning Market / 陣屋前朝市)
เป็นตลาดเช้าหน้าอาคารสำนักงานว่าการเมืองโบราณของทาคายาม่า (๋Takayama Jinya)
สามารถเดินมาได้จากสถานี Takayama ใช้เวลาประมาณ 8 นาที
ตลาดเช้าทาคายาม่า (Takayama Morning Market / 高山朝市)
ภาษาญี่ปุ่นนั้นเรียกว่า Takayama Asaichi
เป็นตลาดที่เก่าแก่ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่สมัยเอโดะ
เปิดมายาวนานถึง 200 ปี สมัยก่อนเป็นที่สำหรับขายผักผลไม้ รวมถึงอาหารต่างๆ
ส่วนปัจจุบันนั้นมีสินค้าขายหลากหลายทั้งอาหารสด
อาหารพร้อมทาน งานฝีมือท้องถิ่น ขนมขบเคี้ยว ของที่ระลึกซึ่งเป็นของพื้นเมืองจำหน่าย
ซึ่งจริงๆ แล้วคนจะนิยมมาที่
ตลาดเช้ามิกาวะ (Miyagawa Morning Market / 宮川朝市)
มากกว่าเพราะตลาดใหญ่กว่า มีของขายเยอะกว่าค่ะ
เวลาทำการของตลาดทั้งสองแห่ง :
เมษายน – พฤศจิกายนเปิด 07:00 – 12:00 น.
ธันวาคม – มีนาคม เปิด 08:00 – 12:00 น.
ปากทางเข้าจะมีป้ายเขียนชัดเจนว่า
Miyagawa Morning Market ไม่ต้องกลัหลงนะคะ
ด้านในมีของน่ารักๆ เยอะมาก โดยเฉพาะเจ้าตุ๊กตาไม่มีหน้าแบบนี้
หลายๆ คนคงเคยเห็นผ่านตามาบ้างใช่ไหมคะ
ตุ๊กตาตัวนี้มีชื่อว่าซารุโบโบะเป็นตุ๊กตาประจำจังหวัดกิฟุ
คำวา “ซารุ” (猿ーsaru) แปลว่า “ลิง” และ “โบโบะ”
เป็นคำที่ชาวเมืองทาคายามะ ใช้เรียกทับศัพท์คำว่า “เบบี้”
ดังนั้น “ซารุโบโบะ” แปลตรงตัวได้ว่า “ลิงน้อย”
ซึ่งตามประเพณีแล้ว
ตุ๊กตาซารุโบโบะจะถูกทำขึ้น
เพื่อเป็นเครื่องรางนำโชคมอบให้กับคนที่มีความสำคัญมาก ๆ
ในสมัยก่อนเหล่าคุณยายจะทำตุ๊กตาประเภทนี้ให้กับหลาน ๆ
เพื่อเป็นเครื่องรางนำโชค
และนำพาความโชคดีมาสู่ชีวิตของหลาน ๆ นั่นเองค่ะ
แล้วปัจจุบันเค้าก็ทำมาหลากหลายสีสัน ความหมายก็จะแตกต่างกันออกไป
แดง = ชีวิตคู่ และ ครอบครัว
ทอง = การเงิน และ ความสำเร็จ
เหลือง = การเงิน และ การพนัน หรือการเสี่ยงดวง
ชมพู = ความรัก สมหวัง เจอคนที่ถูกใจ
น้ำเงิน = การเรียน และ การทำงาน
เขียว = ความผาสุข และ สุขภาพ
ม่วง = อายุยืน และ ความสำเร็จ
ดำ = การปกป้องจากสิ่งชั่วร้าย
ชอบความหมายทุกสีเลย แบบนี้ต้องซื้อฝากคนทางบ้านซะแล้ว
ติดกันก็จะมีร้านทาโกยากิค่ะ
ระหว่างทางมีร้านรวงไม่มากไม่น้อย ที่ของที่น่าซื้อเยอะมาก
พวงกุญแจต่างๆ น่ารักมุ้งมิ้งค์เป็นที่สุด
มีใบโฮบะกับมิโวะเป็นของฝากด้วยค่ะ รอบที่แล้วอิ้มซื้อกลับบ้าน อร่อยมากกกก
ผัก สดๆ หัวไชเท้าเค้าใหญ่มากกกกกก เกือบเท่าขาอิ้มเลยนะ
หากใครเริ่มหิวก็มีพวกซอฟครีม ซาลาเปาเนื้อฮิดะ ดังโงะ จำหน่ายในซุ้มเล็กๆ น่ารัก
โอ้วววววว สตอร์เบอร์รี่ลูกโต 500 เยนเท่านั้น จัดสักแพ็คเลยค่ะ
ตอนแกะออกมานี่คือหอมมากกกกกก กลิ่นชวนทานสุดๆ
งั่มมมมมมม ลูกโตเต็มปากเต็มคำหวานนนชื่นใจ
โดนมนกฤษณะกาลีเข้าให้อีกแล้ว กินเนื้อฮิดะแต่เช้า 55555
เนื้อฮิดะเสียบไม้ย่าง 500 เยน
จัดไปสองไม้ 1000 เยน ตอนสั่งไม่คิด ตอนจ่ายเงินเริ่มคิด
สามร้อยบาทเลยนะน่ะ 55555
แต่มาถึงแล้วต้องลอง
และรสชาติก็บอกเลยว่า ไม่ผิดหวัง ฟินมากกกกกกกก ละลายในปาก
เสร็จแล้วอิ้มก็มาเดินเล่นย่านเมืองเก่าของทาคายาม่า (Takayama Old Town)
จริงๆ มาเมื่อวานตอนเย็นรอบนึงแล้วเน๊อะที่มาทานซูชิเนื้อฮิดะ
แต่เช้านี้อยากมาใหม่ เพราะตอนเช้าคนน้อย ถ่ายรูปสวย
แต่ข้อเสียคือร้านค้าก็จะยังไม่เปิด
ส่วนมากเค้าจะเริ่มเปิด สิบโมงไปจนถึงห้าโมงเย็น
Takayama Old Town เต็มไปด้วยอาคารบ้านไม้โบราณ
ซึ่งสร้างมาตั้งแต่ช่วงสมัยเอโดะหรือเมื่อประมาณ 200 ปีก่อน
และได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีจนถึงทุกวันนี้
ถนนที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมากในย่านเมืองเก่านั้นคือ
ย่านซันมาชิซูจิ (Sanmachi-Suji) ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองทาคายาม่า
เป็นถนนที่เรียงรายไปด้วยร้านค้าและโรงบ่มสาเกขึ้นชื่อของเมือง
เราสามารถเดินถ่ายรูปกับตึกเก่าสองข้างทาง
ที่เรียงรายไปด้วยบ้านเรือนแบบเก่าที่มีระแนงไม้สีน้ำตาลสวยงาม
ที่จะสามารถเดินดูไปได้เรื่อยๆ ไม่รู้จักเบื่อกันเลยทีเดียว
คนน้อยๆ แบบนี้ ต้องรัวๆ ชัตเตอร์กันหน่อย
ถนนนี้เป็นของชั้น 55555
ลูกพี่นี่ใหญ่คับซอยเลยจริงๆ
ในถนนเส้นนี้ก็มีร้านค้าเยอะนะคะ อย่างซูชิเนื้อฮิดะ ก็มีหลายร้าน
เลือกทานได้ตามใจชอบ แต่อยากสปอยว่าร้านที่อิ้มพาไปทานเมื่อวานอ่ะ อร่อยสุด 55555
มุมไหนก็สวย ถ่ายรูปเพลินมากกกก
ถ้าใส่ชุดยูกาตะมาต้องสวยมากแน่ๆ ค่ะ
ร้านค้าต่างๆ ที่อยู่ที่นี่ดูยังไงก็น่ารักไปหมด
มีคาเฟ่น่ารักๆ เหมาะสำหรับสายกาแฟทั้งหลายด้วยนะคะ
ร้านซูชิที่เราทานเมื่อวาน
ตรงข้ามกันจะมีร้านซอฟครีมด้วยนะ เด็กๆ เข้าไปทานเยอะมาก
หรือจะทานดังโงะ ที่ร้านคุณป้าก็ดีนะคะ
ใครขี้เกียจเดินเข้าก็มีรถลากไว้บริการด้วยนะ
แต่อิ้มไม่กล้านั่ง สงสารพี่เค้า แกคงแบกอิ้มไม่ไหวแน่นอน อิอิ
ตรงนี้น่าจะเป็น Art Gallery อิ้มไม่ได้เข้าไปชม
หึหึหึ ของกระจุกกระจิกมายั่วใจอีกแล้ว
เผลอแป๊ปเดียวก็เดินทางสุดถนนแล้วค่ะ
ซารุโบๆ ตัวนี้หน้าแก่จุง 5555
เดินไปเดินมาชักจะหิว และสายตาก็ไปหยุดที่ร้านนี้ค่ะ
Takumiya, Yasukawa Beef Restaurant
ร้านนี้จะเปิดทุกวันพฤหัส ถึงวันอังคาร เปิดเป็นสองรอบ
11.00-15.00 และ 17.00-21.00
และปิดทุกวันพุธค่ะ
ความพิเศษของร้านนี้ก็จะมีให้บริการทั้งสุกี้ยากี้ ชาบู และยากินิคุ เป็นเนื้อฮิดะ
ราคาเริ่มต้นน่าคบหามากกกกกกก
วันนี้อิ้มเลือกทานเป็น สุกี้ยากี้เซ็ต ราคาเริ่มต้นสำหรับ 2 ท่านอยู่ที่ 2,980 เยน
จะเป็นเนื้อเกรดธรรมดาค่ะ แต่ใครอยากทานเกรด A5 เค้าก็มีนะ
ราคาเพียง 6,980 เยน สำหรับสองท่าน สำหรับชุดสุกี้ยากี้
หรือบางคนอาจจะทานเซ็ตเดียวกับอิ้ม แล้วอยากสั่ง A5 มาทานก็จ่ายเพิ่มจานละ 1,980 เยน
แค่นี้ก็ฟินแล้วววว
พอร้านเปิด 11 .00 น. เค้าก็ออกมาต้อนรับ อิ้มก็แจ้งว่าทานสุกี้เซ็ตนี้
เค้าก็พาเรามาที่ชั้น 3 บรรยากาศภายในร้านด้านบนที่นั่งหรูหราทีเดียว
ในเซ็ตก็จะมี เนื้อ ผัก และไข่ ที่เสิร์ฟมาให้
สำหรับการทานสุกี้ยากี้ ญี่ปุ่นนั้นเค้าจะใช้ไข่ดิบเป็นน้ำจิ้มนะคะ
และแล้วเนื้อฮิดะของเราก็มาเสิร์ฟ หน้าตาน่าทานมากกกกก
ลายก็สวยเบาๆ ตามราคา
แต่จ่ายราคานี้ได้ทานเนื้อแบบนี้อิ้มว่าโอเคเลยนะ
แอบนึกเสียดายที่ไปทานแบบเสียบไม้เมื่อเช้า 55555
เริ่มต้นเค้าจะใส่ผักและผัดจนผักสุกและน้ำของผักออกมาผสมกับน้ำซุปจนหอมกรุ่น
จากนั้นใส่เนื้อฮิดะลงไป
ว้าววววววว สุกแล้วค่าาา พร้อมทานแย้ววว นาทีนั้นหอมมากจร้าาาาา
อิ้มนี่อยากจะอัดเป็นกลิ่นมาฝาก
ได้เวลาทานแล้วน๊าาาา ขนาดเนื้อเกรดนี้ ยังนุ่มละลายในปากขนาดนี้
แล้วถ้า A5 จะอร่อยขนาดไหน ไว้รอบหน้าอิ้มจะต้องมาลองแน่นอน
อิ่มแล้วค่ะ ที่เห็นในบิลอีก 500 เยน เป็นค่าข้าวญี่ปุ่น
อิ้มสั่งมาสองถ้วย กลัวจะไม่อิ่ม ที่ไหนได้ จุกไส้เลยจร้าา
ค่าเสียหายสองคนก็ 3,480 เยน ตกพันกว่าบาทไทย หารกันก็คนละห้าร้อยนิดๆ
ได้บิลแล้วก็ลงมาจ่ายที่ชั้นล่างของร้านอาหารเลยค่ะ
สถานีต่อไป อิ้มจะเดินทางต่อไปยังชิราคาวาโกะ หมู่บ้านมรดกโลก
จาก Takayama ไป Shirakawago ปกติราคา 2,470 เยน ต่อคน ต่อเที่ยว
ถ้าไปกลับจะ 4,420 เยน ต่อคนค่ะ
แต่เราใช้ Takayama Hokuriku area tourist pass เลยสบาย
เพราะไม่ว่าจะนั่งรถ Nohi Bus กี่เที่ยว ก็ฟรีหมด
(Takayama Hokuriku area tourist pass
ใช้นั่งรถบัส Nohi และ Hokutetsu ที่ให้บริการระหว่างเส้นทาง
Takayama – Shirakawago – Kanazawa ไม่จำกัดจำนวนเที่ยว)
แต่ต้องใช้ต่อเนื่องภายใน 5 วันนะคะ
นั่งรถมา 50 นาทีก็ถึงหมู่บ้านชิราคาวาโกะค่ะ
ธรรมชาติมาก ขอสูดอากาศบริสุทธิ์ให้เต็มปอดสักหน่อย
ชิราคาวาโกะ (Shirakawa-go / 白川郷) ตั้งอยู่ในจังหวัดกิฟุ (Gifu / 岐阜県)
ของภูมิภาคจูบุ (Chubu / 中部地方)
เป็นหมู่บ้านที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของ UNESCO ในปี ค.ศ. 1995
หมู่บ้านชิราคาวาโกะ นั้นก่อตั้งเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1919
ประกอบด้วย 16 หมู่บ้าน โซนที่นักท่องเที่ยวนิยมมานั้นคือ “
หมู่บ้านโอกิมาจิ (Ogimachi / 荻町)” ซึ่งเป็นหมู่บ้านหลักและใหญ่ที่สุดในชิราคาวาโกะ
เอกลักษณ์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากของชิราคาวาโกะ ก็คือ
บ้านญี่ปุ่นโบราณมีหลังคาทรงสูงแบบการพนมมือที่เรียกว่า “Gassho-Zukuri (合掌造り)”
ซึ่งมีอายุเก่าแก่นับร้อยปีและยังได้รับการอนุรักษ์มาเป็นอย่างดีจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้บ้านต่างๆ ยังเปิดให้นักท่องเที่ยวค้างคืนแบบ Homestay
ซึ่งเรียกว่า “Minshuku (民宿)”
ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีในการสัมผัสชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่นี่
อิ้มเองมาพักที่นี่สองครั้งแล้วค่ะ ชอบบรรยากาศมากๆ
สำหรับการจองเรียวกังในชิราคาวาโกะ อิ้มจองผ่านเวบนี้ค่ะ
https://www.japaneseguesthouses.com/
เค้าจะให้เราเลือกบ้านที่ชอบแล้วจะส่งอีเมล์มาว่าบ้านพักนี้เต็มหรือไม่
หากเต็ม เค้าจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่ามีหลังไหนว่างบ้าง
ซึ่งของอิ้มได้หลังนี้ค่ะ
Ryokan: Kanja
http://JapaneseGuestHouses.com/ryokan-single/?ryokan=Kanja
อิ้มจองมาในราคา 25,000 yen ราคานี้รวมภาษีสำหรับสองท่าน
และรวมอาหาร 2 มื้อ คืออาหารเย็น และอาหารเช้า
(ราคาที่พักจะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและฤดูกาล)
ภายในเรียวกังจะแบ่งเป็นห้องๆ ราว 4-8 ห้อง แล้วแต่หลัง
และห้องที่พัก จะเป็น Japanese style room ทั้งหมด
มีระเบียงน้อยๆ ออกไปนั่งชิลๆ ด้านนอก
ตอนนี้เค้าจะยังไม่ปูเตียงให้เรานะ ไม่ต้องตกใจ หลังจากเราทานข้าวเย็น
เค้าจะเนรมิตห้องนี้เป็นห้องนอนทันทีค่ะ
สำหรับห้องน้ำจะเป็นห้องน้ำรวม
และเค้าจะมีเวลาอาบน้ำให้ด้วยนะอย่าตอนเย็นเริ่มอาบได้ตั้งแต่ 4 โมงเย็น ถึง 3 ทุ่ม
และตอนเช้า อาบได้ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 7 โมงครึ่งค่ะ
ภายในห้องอาบน้ำ
สำรวจภายในบ้านกันแล้วออกไปเดินเล่นด้านนอกกันค่ะ
แผนที่ภาษาไทยค่ะ สามารถขอได้ที่ Tourist information ตั้งอยู่ที่หน้าหมู่บ้าน
ในหมู่บ้านก็มีหลายจุดน่าสนใจ
มีทั้งร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ เรียวกัง วัด และพิพิธภัณฑ์
ใครไม่สะดวกนอนค้างคืน ก็สามารถมาเที่ยวแบบ One dya Trip ได้ค่ะ
การเที่ยวที่หมู่บ้านชิราคาวาโกะนี้ สามารถเที่ยวได้ทั้ง 4 ฤดูของญี่ปุ่น
เพราะแต่ละฤดูนั้นก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันออกไป
ฤดูหนาว (เดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์)
ช่วงฤดูหนาวถือเป็นช่วงที่พีคที่สุดของหมู่บ้านชิราคาวาโกะ
เพราะในช่วงนี้บรรยากาศในหมู่บ้านนี้ขาวโพลนไปด้วยหิมะ
เป็นทิวทัศน์ที่ต่างจากฤดูอื่นโดยสิ้นเชิง
จะสวยงามมากกกกก เหมือนหมู่บ้านเล้กท่ามกลางหิมะ ขาวโพลน
ในช่วงนี้จะมีการจัดงานเทศกาลสุดพิเศษอย่างการเปิดไฟ (Light-up)
ในช่วงเวลากลางคืนตั้งแต่ห้าโมงเย็นเป็นต้นไป
โดยจะงานเทศกาล Light-up ของหมู่บ้านแห่งนี้จะเกิดขึ้นภายในเวลา 7 วันเท่านั้น
ซึ่งหลายคนก็ตั้งใจจองบ้านพักในหมู่บ้านแห่งนี้เพื่องานเทศกาลนี้เลยทีเดียว
สำหรับใครที่อยากมาชมแนะนำว่าให้จองรถบัสรอบเย็นเข้ามาที่หมู่บ้านแห่งนี้ล่วงหน้า
เพราะทางหมู่บ้านอนุญาตให้รถบัสที่มีสัญลักษณ์การเข้าชมงานจัดแสดงไฟ
เข้าชมงานอย่างถูกต้องเท่านั้น เนื่องจากในทุกปีมีผู้เข้าชมหนาแน่นมาก ๆ
ถ้าอยากมาในช่วงนี้การแต่งตัวต้องจัดเต็มนิดนึงนะ
รองเท้า เสื้อหนาวต้องพร้อมเพราะภายในหมู่บ้านอากาศหนาวมาก ๆ
และมีหิมะตกหนัก
เป็นฤดูที่อิ้มอยากมาเที่ยวที่นี่ที่สุดเลยค่ะ
ฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม)
ในช่วงฤดูนี้ บรรยากาศของชิราคาวาโกจะสวยหวาน
เพราะต้นซากุระที่ปลูกภายในหมู่บ้านแห่งนี้จะบานสะพรั่ง
สวยงามเป็นทิวทัศน์ที่งดงาม มองไปทางไหนก็ชื่นใจ
อากาศกำลังดีไม่หนาวหรือร้อนจนเกินไป ไ
ด้ใส่เสื้อหนาวสวย ๆ พออุ่น ๆ ไม่ต้องหลายชั้น
ใครที่มีเป้าหมายจะมาดูซากุระที่ญี่ปุ่นด้วยฤดูนี้แหละที่เหมาะที่สุด
ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม)
ในช่วงนี้บรรยากาศภายในหมู่บ้านจะเขียวขจี มองไปทางไหนก็สบายตา
เราสามารถเดินเล่นในหมู่บ้านนี้สบาย ๆ
จุดเด่นของฤดูกาลนี้คือจะมีกิจกรรมการฉีดน้ำไปบนหลังคาบ้าน
เพื่อเพิ่มความเย็นให้ตัวบ้าน
เนื่องจากบ้านทรงกัสโซที่ทำจากวัสดุธรรมชาตินั้นติดไฟง่าย
เราจะได้เห็นบรรยากาศสวย ๆ อีกแบบของหมู่บ้านแห่งนี้
แต่อิ้มมาในช่วงต้นมิถุนายนอากาศยังไม่ร้อนมากเท่าไหร่นักจึงยังไม่ได้เห็น
ภาพกิจกรรมฉีดน้ำบนหลังคาบ้านค่ะ
ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน)
ฤดูใบไม่ร่วงเป็นช่วงเวลาที่ต้นไม้ใบหญ้าภายในหมู่บ้านแห่งนี้
เปลี่ยนสีสันจากเขียวขจีเป็นสีเหลือง สีส้ม สีแดง ดูแปลกตา
สวยงามไปอีกแบบ อากาศในช่วงนี้เย็นสบาย
เหมาะจะมาเที่ยวชมถ่ายรูปเก็บภาพความประทับใจที่ไม่เหมือนใคร
ใครชอบดูใบไม้เปลี่ยนสี แนะนำช่วงนี้เลยนะคะ
บ้านเรือนในหมู่บ้านก็มีแบบทรงธรรมดาและทรง Gassho-zukuri
ซึ่งเป็นเหมือนทรงพนมมือ ว่ากันว่า การสร้างบ้านแต่ละหลัง
ต้องใช้ผู้ชำนาญการสร้างด้วยความพิถีพิถัน
วัสดุในการสร้างบ้านนั้นล้วนนำมาจากธรรมชาติ
ใช้หญ้าฟางที่ปลูกในหมู่บ้านมามุงหลังคา
ตัวบ้านจะไม่มีการตอกตะปูใด ๆ และบางหลังก็มีอายุยาวนานกว่า 250 ปี
ยาวนานมากทีเดียวค่ะ
และเมื่อมาถึงชิราคาวาโกะ อีกไฮไลท์นึงที่ต้องห้ามพลาดนั่นก็คือการขึ้นมาจุดชมวิว
Shiroyama Viewpoint
เดินขึ้นได้สบายๆ ทางไม่ชันและไม่ไกล
จากจุดนี้เราสามารถมองเห็นหมู่บ้านชิราคาวาโกะได้ทั้งหมู่บ้าน
เป็นวิวที่สวยงามมากเลยค่ะ
ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเป็นช่วง Light up จะสวยงามขนาดไหน
แค่ภาพในจินตนาการก็สวยมากแล้ว
ขอแค่เวลาช่วงสั้นๆ แค่ได้ทำตามความฝันของตัวเองก็มีความสุขแล้ว
เวลาเห็นวิวที่ชอบ ก็จะหน้าบานประมาณนี้
ได้เวลาใกล้จะเย็นย่ำอิ้มก็ลงจากจุดชมวิวมาเดินเล่นในหมู่บ้านต่อ
เป็นอีกฤดูที่น่าเที่ยวจริงๆ ใครชอบสีเขียว มองดุแล้วสดชื่นแนะนำฤดูนี้นะคะ
เย็นๆ ร้านรวงต่างๆ ก็เริ่มทะยอยกันปิด
กลับเข้าบ้านเตรียมทานข้าวเย็นค่ะ
การทานข้าวเย็นเราจะต้องออกมานั่งที่ห้องโถงทานอาหารพร้อมกับแขกคนอื่นๆ
โดยเค้าจะจัดเป็นเซ็ตๆ ไว้ นั่งตรงไหนก็ได้ค่ะ
เพราะทุกเซ็ตก็จะเหมือนกันและมีข้าวญี่ปุ่นให้สองคนต่อ 1 หม้อ
ในเซ็ตก็มีอาหารประมาณนี้ค่ะ ช่วงเย็นมีเนื้อฮิดะให้ทานอีกเช่นเคย
แต่หากใครไม่ทานเนื้อให้แจ้งตอนจองที่พักนะคะ ว่าไม่ทานเนื้อ
เค้าจะเปลี่ยนเป็น ปลาแซลมอนให้
เนื้อฮิดะเค้าจะเสิรืฟมาบนเตาถ่านขนาดเล็กๆ พอเค้าจุดไฟ เราก็คนทุกอย่างให้เข้ากัน
รอทุกอย่างสุกพอดีๆ ก็พร้อมทาน
เห็นเสิร์ฟมาอย่างละนิดละหน่อยแบบนี้ รวมๆ แล้วอิ่มมากเลยค๊าาา ท้องจะแตก
ในส่วนของอาหารจะเสิร์ฟให้เท่านี้ แต่ถ้าใครไม่อิ่มสามารถเพิ่มข้าวและซุปได้ค่ะ
ก็ทิ้งท้าย day 3 ไว้กับเนื้อฮิดะจานนี้นะคะ
หลังจากทานเสร็จก็พุงตึง กลับไปที่ห้องพัก
ขอนอนเอาแรงให้เต็มที่เพราะพรุ่งนี้เราจะลุยกันต่อ
เดี๋ยวติดตามกันต่อใน Day 4 ของทริปญี่ปุ่นหน้าร้อนของอิ้มนะคะ
******************************************************
ก่อนรีวิวนี้จะจบลง
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจนมาถึงบรรทัดนี้
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ขอบคุณทุกไลค์ ขอบคุณทุกแชร์
เป็นกำลังใจที่ดีในการทำรีวิวมากๆ
ถ้าชอบก็ฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะคะ
อัพเดทเรื่องกิน เช็กอินเรื่องเที่ยว ได้ที่นี่ psstory เรื่องราวดีๆในการเดินทาง
แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้านะคะ สวัสดีค่ะ
******************************************************
ช่องทางติดต่อเรา
http://www.facebook.com/psstorytrip