ตะลุยฟุกุชิมะ : DAY 3 เที่ยว Kitakata ชิม Ramen เจ้าดัง และเข้าพัก Higashiyama Onsen Onsen ชื่อดังของเมือง Aizu

สวัสดีค๊าาา ตอนนี้ก็มาถึง Day 3 ในฟุกุชิมะของอิ้มกันแล้วนะคะ

ใครยังไม่ได้ชมสองตอนแรกตามไปด่วนๆ เลยนะ

ตะลุยฟุกุชิมะ : DAY 1 เดินชิลๆ กับบรรยากาศสวยๆ

พร้อมทานเนื้อย่างร้านดังที่ IIZAKA ONSEN

https://psstorytrip.com/2017/11/23/iizakaonsen/

ตะลุยฟุกุชิมะ : DAY 2 ชมใบไม้เปลี่ยนสี

และเดินป่าท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงามที่บึงน้ำ 5 สี GOSHIKINUMA

https://psstorytrip.com/2017/11/24/goshikinuma/

หลังจากที่ไปเที่ยวลุยๆ ใน Day 2 แล้ว

Day 3 ขอเที่ยวสบายๆ เบาๆ ไม่ต้องรีบร้อนแล้วกันโน๊ะ

วันนี้ขอเอาใจสายราเมนกันหน่อย

รู้ไหมว่าที่เมือง Kitakata เค้าเป็นเมืองราเมนระดับตำนานเลยนะ

ถือว่าเป็นของดี ของเด่นที่ขึ้นชื่ออีกอย่างนึงของจังหวัด Fukushima

ภายในเมือง Kitakata ถือว่าเป็น Ramen City เพราะมีร้านราเมนเกือบ 120 ร้าน

ห๊าาาา 120 ร้าน !!!! ฟังไม่ผิดแน่นอน

มาแล้วต้องมาชิม ห้ามพลาดโดยเด็ดขาดนะคะ

ส่วนช่วงเย็นอิ้มจะพากลับไปเมือง Aizu Wakamatsu

ไปสัมผัสบรรยากาศความเป็นญี่ปุ๊น ญี่ปุ่น

ด้วยการเข้าพักเรียวกังที่ Higashiyama Onsen

ส่วนจะพักที่ไหนนั้นรอติดตามชมในรีวิวนี้นะคะ

พร้อมแล้วไปชมรีวิวนี้กันเล้ยยยย

ตะลุยฟุกุชิมะ : DAY 3 เที่ยว Kitakata ชิม Ramen เจ้าดัง

และเข้าพัก Higashiyama Onsen Onsen ชื่อดังของเมือง Aizu

DSC04213 copyyy

 

สามารถรับชมเป็นแบบคลิปวีดีโอได้ที่นี่ อย่าลืมกด HD เพื่อความชัดในการรับชม

แล้วอย่าลืมกดติดตาม กด subscribe กดไลก์ กดแชร์ได้เลยนะค๊าาา

หลังจากที่เราพักผ่อนกันนอนหลับกันสบายที่ Hotel Listel Inawashiro

มา 1 คืน ตอนเช้าอิ้มก็ตื่นมาชมบรรยากาศรอบๆ โรงแรมกันค่ะ

โรงแรมนี้ถือว่าเป็นโรงแรมที่กว้างมากๆ มีหลากหลายส่วน

ตอนเช็คอินเค้าต้องให้แผนที่ขนาดใหญ่เผื่อมาดูว่าเราพักในโซนไหน

ดีเด็ดของที่นี่อยู่ที่สระว่ายน้ำในร่ม onsen ในร่มและกลางแจ้ง

ซึ่งที่กล่าวมาอิ้มไม่ได้ถ่ายภาพมาให้ชมกันเลยเพราะว่า onsen เค้าเปิดปิดเป็นเวลา

ส่วนสระว่ายน้ำตอนเช้าที่อิ้มไปถึงเค้ากำลังทำความสะอาด

เลยอดถ่ายภาพมาให้ชมกัน

ส่วนที่ถ่ายได้ก็เห็นจะเป็นด้านนอกนี้ค่ะ

ช่วงฤดูหนาวที่นี่เป็นสกีรีสอร์ทที่น่าสนใจมาก

หากใครมองหารีสอร์ทหน้าหนาวสำหรับมาเล่นสกีแนะนำที่นี่เลยค่ะ

เดี๋ยวอิ้มมาพาไปชมบรรยากาศตรงลานสกีกันค่ะ Hotel Listel Inawashiro

1 (1)1 (2)

ตรงด้านนี้เป็นจุดที่เค้าเล่นสกีกันค่ะ

วิวดีงามมากภาพถ่าย ถ่ายมาไม่ได้ครึ่งของสถานที่จริงเลย

สถานที่จริงใบไม้เปลี่ยนสี สีแดง สีส้ม สีเหลือง สลับกันอย่างสวยงาม

1 (3)1 (4)1 (5)

ขอแชะภาพเป็นที่ระลึกสักหน่อยค่ะ อิิอิ

2 (1)

ด้านหน้าส่วน Wing Tower อาคารนี้เป็นอาคารหลักค่ะ

เพราะ Front สระว่ายน้ำในร่ม ห้องอาหาร ร้านอาหาร

ห้องคาราโอเกะ รวมถึงออนเซ็น จะอยู่ที่ตึกนี้ทั้งหมดค่ะ

2 (2)

ได้เวลาเช็คเอาท์กันแล้ว

ที่โรงแรมที่ Shutter Bus รับส่งจากโรงแรมไป Inawashiro Station ด้วยนะคะ

สำหรับตารางเวลา Shutter Bus จะแบ่งเป็นช่วงเช้าและบ่าย ช่วงละ 4 รอบค่ะ

จาก Inawashiro Station ไป Hotel Listel Inawashiro

มีตั้งแต่เวลา 09.15 , 10.30 , 11.25 , 12.35 ,13.35 , 14.30 , 15.45

และ 16.30 เป็นรอบสุดท้ายที่มาโรงแรมค่ะ

ส่วนขากลับจาก Hotel Listel Inawashiro  ไป Inawashiro Station

ช่วงเช้าจาก Hotel Listel Inawashiro ไป Inawashiro Station

 มีตั้งแต่เวลา 08.20 , 09.55 , 11.00 , 12.00, 13.10, 14.05, 15.05 ,

และ 16.05 เป็นรอบสุดท้ายที่ออกจากโรงแรมค่ะ

เช้านี้อิ้มตื่นสายหน่อยได้ออกเดินทางในเวลา  09.55 ค่ะ

2 (3)

ใช้เวลาประมาณสิบนาที

Shutter Bus ของโรงแรมก็พาเรากลับมายัง Inawashiro Station

2 (4)

Inawashiro Station ในเวลาที่มีแดดค่ะ

2 (5)

จาก Inawashiro Station อิ้มจะเดินทางต่อไปยัง Aizu – Wakamatsu

เพื่อฝากกระเป๋าไว้ที่สถานีเพราะเย็นนี้เราจะเข้าไปพักที่

Higashiyama Onsen Onsen ชื่อดังของเมือง Aizu – Wakamatsu

รับประกันความฟินแน่นอน

แต่ก่อนจะไปถึงตอนเย็นก็ต้องผ่านช่วงกลางวันก่อนสิ

แหมมม จะรีบข้ามตอนไปไหนเนี่ย 5555

กลางวันนี้อิ้มจะพาไปเที่ยวที่เมือง Kitakata เมืองราเมนในตำนาน

และพาไปชิม Ramen เจ้าดัง

ก่อนที่จะเดินทางไป Kitakata

เราต้องนั่งรถไฟไปลง Aizu – Wakamatsu ก่อน

ซึ่งจาก Inawashiro Station ราคาตั๋วคนละ 500 เยนค่ะ

(โปรดมองข้ามมือเหี่ยวๆ และเล็บดำๆ)

3 (1)

ระหว่างรอรถก็มีความกระหายน้ำขึ้นมาอีกจัดไปค่ะ

3 (2)3 (3)

ได้เวลาที่รถไฟมาแล้วจาก  Inawashiro Station

ไปยัง Aizu – Wakamatsu ใช้เวลาประมาณครึ่งชมนิดๆ

พอถึง Aizu – Wakamatsu อิ้มก็ฝากกระเป๋าไว้ที่สถานี

แล้วนั่งรถไฟจาก Aizu – Wakamatsu มาลงที่ Kitakata Station

 ราคาตั๋วเที่ยวละ  320 เยน

ใช้เวลาประมาณครึ่งชมเราก็มาถึงเมือง Kitakata กันแล้วค่ะ

มาถึงแล้วให้แวะไปที่  Tourist Information Center ของสถานี Kiatakata

จากภาพจะอยู่ซ้ายมือเดินเข้าไปเลยค่ะ

4 (1)

เข้าไปปุ๊ปให้ถามหา Ramen Map นะคะ

เด่วนะ Ramen Map เหรอ ???

ใช่ๆ ฟังไม่ผิดค่า ที่นี่มีร้าน Ramen มากกว่า 120 ร้าน จึงต้องทำเป็น Map ขึ้นมาเลย

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีภาษาไทยแต่พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้

สิ่อสารได้คล่องแคล่วทีเดียวค่ะ

4 (2)

จากกาารสอบถามได้ความมาว่า

ร้าน No.35 ร้าน Genraikan (เก็นไรคัน)

ร้าน Genraikan เป็นร้านแห่งแรกเป็นผู้บุกเบิก!! มีประสบการณ์กว่า 90 ปี

และที่อยากไปร้านนี้ก็เพราะว่าความเป็น Original เป็นร้านแรกเป็นจุดเริ่มต้น

ให้เมือง Kitakata มีชื่อเสียงเกี่ยวกับ Ramen จนถึงทุกวันนี้

ส่วนอีกร้านอีกร้าน NO.23 Bannai Shokudō (บันไน โชคุโด)

Bannai Shokudō เป็นอีกร้านที่มีความ Popular สุดๆ

เพราะเค้ามีสาขากว่า 50 ทั่วประเทศญี่ปุ่น และมีอีก 2 สาขาในต่างประเทศ

 ถือว่าเป็น Ramen ต้นตำรับ Kitakata อีกร้านนึง

ที่ได้ถูกพัฒนาต่อยอดจนโดนใจนักชิมจากทั่วโลก

ว้าววววว แค่ฟังก็น่าตามรอบสุดๆ แล้วนะ

จริงๆ ดูจากใน Map ก็น่ากินทุกร้านเลยค่ะ

แต่ถึงเวลาพอเอาเข้าจริงจะกินได้สักที่ถ้วยกันเชียว

เพราะเห็นเค้าบอกว่าราเมนที่นี่ชามใหญ่สุดๆ

เอาหล่ะไม่พูดพร่ำทำเพลง มุ่งหน้าไปตะลุยราเมนกันค๊าาา

4 (3)

การท่องเที่ยวในเมือง Kitakata ทำได้หลายช่องทางค่ะ

1 .รถเมล์นำเที่ยว ชื่อ Buralin-Go รถสีเขียวเข้ม

ออกจาสถานีมารถจะจอดอยู่ขวามือ

ถ้าเจอระหว่างทางก็โบกๆ ขึ้นเที่ยวได้เลยนะคะ

ราคาค่าโดยสารของ Burarin–go Circuit Bus

เที่ยวละ 200 เยน สำหรับผู้ใหญ่

และ 100 เยนสำหรับเด็ก

แต่ถ้าอยากให้คุ้มอิ้มแนะนำ One Day Pass

ราคา 500 เยน สำหรับผู้ใหญ่

และ 300 เยนสำหรับเด็ก

แต่รถจะออกวิ่ง ชม ละคัน เท่านั้นนะคะ

ถ้าขึ้นระหว่างทาง จ่ายเงินบนรถเมล์ได้เลยค่ะ

2. เช่าจักรยานปั่นเที่ยวรอบเมืองราคาเช่าวันละ 500 เยนเท่านั้น

3. นั่งแท็กซี่ไปเล้ยยยย เพราะขี้เกียจเดิน

4. และสุดท้าย เดิน ค่ะ อิอิ

แน่นอนอย่าอิ้มต้องเลือกข้อ 4 5555

เพราะจริงๆ ดูจาก MAP แล้วแต่ละร้านก็ไม่ได้ไกลกันเลย

แถมเวลาเราเดินเผื่อเห็นอะไรที่ถูกใจก็จะได้แวะถ่ายภาพ

และชมบรรยากาศสวยๆ ของเมืองในสองฝั่งถนนค่ะ

5 (2)

อยากฟังเรื่องราวของ Ramen หน่อยมะ 

ไม่อยากฟังแต่ก็อยากเล่านะ 5555 

Ramen ถือว่าเป็นบะหมี่แบบน้ำของญี่ปุ่น

แต่ต้นกำเนิดจริงๆ มาจากประเทศจีน

จนหลายปีต่อมา Ramen ก็เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในญี่ปุ่น

จนแต่ละจังหวัดนำไปประยุกต์ใช้ ปรับ เปลี่ยน สูตร สไตล์ หรือตำรับ รสชาติ

รวมไปถึงหน้าตาของราเมน

ซึ่งปัจจุบันในประเทศญี่ปุ่นก็มี Ramen หลากหลายมาก

มีเยอะถึงขั้นต้องศึกษากันเลยทีเดียว

แต่ช่วงหลังก็มีการจัดอันดับให้เลือก Ramen สูตรต้นตำรับ

สุดท้ายได้มา 3 แบบค่ะ 

1.Sapporo Ramen เรียกว่า Miso Ramen (ซุปมิโซะ)

2.Hakata Ramen เรียกว่า Tonkotsu Ramen (ซุปกระดูกหมูอ่านว่า ทงคทสึนะ)

3.Kitakata Ramen เรียกว่า Shoyu Ramen (ซุปโชยุ)

ซึ่งเมือง Kitakata ก็ติดอันดับกับเค้าไปด้วยอิ้มถือว่าตัวเองโชคดีมาก

ที่ได้มาทานแบบต้นตำรับสักที

สำหรับเรื่องราว Ramen ของเมือง Kitakata

จุดเริ่มต้นจะอยู่ที่ปี พ.ศ. 2468 (ค.ศ. 1965)

ชาวจีนอายุราวๆ  19 ปี ชื่อ Bankinsei

เดินทางมาจากประเทศจีนเพื่อตามหาคุณปู่ของเขา

ที่ทำงานในโรงไฟฟ้าถ่านหินใกล้เมือง Kitakata

แต่พอมาถึงกลับหาคุณปู่ของเขาไม่เจอ  Bankinsei จึงตัดสินใจตั้งรกรากอยู่ที่นี่

และเริ่มต้นขายบะหมี่สูตรบ้านเกิด

ด้วยความอร่อยที่ไม่เหมือนใครบวกกับรสชาติน้ำซุปใสที่หอม กลมกล่อม

ทำให้คนในเมือง Kitakata ติดใจรสชาติบะหมี่ของ Bankinsei ได้ไม่ยา

จนต่อมาในปี พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1966)

Bankinsei ก็ได้เปิดร้านและตั้งชื่อว่า Genraiken

ขึ้นเป็นร้าน Ramen แห่งแรกในเมือง Kitakata

จากปากต่อปากผู้คนได้ยินข่าวคราว

จึงพากันหลั่งไหลมาชิมราเม็ง KITAKATA

อย่างเนืองแน่น และด้วยความอร่อยและความนิยม

Kitakata Ramen จึงได้เบียดแซงและทะยานไปอยู่ในอันดับต้นๆ

และกลายเป็น 1 ใน 3 Ramen ยอดนิยมในญี่ปุ่นนั่นเองค่ะ

เราแบกความหวังมาเต็มบ่าซึ่งพอมาถึงร้าน Genraikan (เก็นไรคัน)

ปรากฎว่าร้านปิด !!!!  โอ้ยบุญมีแต่กรรมบังแท้ๆ 

5 (3)

เราไม่ลดละความพยายามค่ะ มุ่งหน้าต่อไปยังร้าน No.23

6 (1)

ร้าน No.23 Bannai Shokudō (บันไน โชคุโด)

Bannai Shokudō เป็นอีกร้านที่มีความ Popular สุดๆ

เพราะเค้ามีสาขากว่า 50 ทั่วประเทศญี่ปุ่น และมีอีก 2 สาขาในต่างประเทศ

 ถือว่าเป็น Ramen ต้นตำรับ Kitakata อีกร้านนึง

ที่ได้ถูกพัฒนาต่อยอดจนโดนใจนักชิมจากทั่วโลก

วันนี้อิ้มโชคดีมากๆ ที่คนไม่เยอะ ปกติแถวจะยาวมว๊ากกก

6 (2)

เข้ามาภายในร้านคนแน่นทีเดียวอิ้มก็ต่อคิวสักพัก

พอถึงคิวก็สั่ง Ramen และจ่ายเงินค่ะ

ที่นี่เค้ามีสี่แบบและมีเมนูภาษาไทยด้วยนะ

Ramen จะมีให้เลือก 4 แบบ ซึ่งอิ้มกับบรีสสั่งตามภาพด้านล่าง 2 ถ้วยค่ะ

7 (1)

Ramen สูตรของ Bannai Shokudō

จะเป็น Ramen เส้นใหญ่หยักๆ ในซุปต้มกระดูกแบบน้ำใส

เส้น Ramen สดใหม่ เค้าจะนวดแป้งด้วยมือ เป็นสูตรโฮมเมดของทางร้าน

ทำให้เส้นมีความเหนียวนุ่ม

ส่วนตัวซุปต้มกระดูกนั้นปรุงรสด้วยซอสถั่วเหลืองและเคี่ยวจนกลมกล่อม

ปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย

ถือว่าอร่อยจากวัตถุดิบและความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนของทางร้านจริงๆ ค่ะ

และนี่ก็เป็นเคล็ดลับที่สืบทอดกันมานานไม่ต่ำกว่า 50 ปี

7 (2)

และแน่นอนว่าสุดยอดทีเด็ดที่ทุกคนอยากลองชิมนั้นก็คือหมูชาชู

ขนาดตอนอิ้มเห็นภาพยังรู้สึกอยากทานมากๆ

หมูชาชูของที่นี่จะเรียกกันว่า Torokeru Tokusei Yakibuta

เป็นหมูหมักสูตรพิเศษก่อนนำไปอบกรอบเกรียมเล็กน้อย

ทำสดใหม่ทุกวัน มีรสชาติเค็มนิดๆ หวานหน่อยๆ

สำหรับและ Ramen ที่เราเห็นในโฆษณาต่างๆ นั้น (ที่เห็นแต่ชาชูเต็มไปหมด)

ก็คือเมนู ยากิบูตะราเม็ง  (Yakibuta Ramen)

หรือ Ramen หมูชาชูย่าง ถือว่าเป็น Ramen ที่ฮอตที่สุดของทางร้ายเลยค่า

และวันนี้อิ้มได้ทานเมนูนี้ด้วยตอนเค้ามาเสิร์ฟคือแบบตาค้างเลย

ถ้วยใหญ่และหมูชาชูเยอะมว๊ากกกกโปะมาเต็มมองไม่เห็นเส้นเลย

7 (3)

หมูชาชูแบบเต็มชามทำให้รู้สึกว่าน่าทานมาก

พอทานพร้อมๆ กันกับเส้นและซุป Ramen ทุกอย่างเข้ากันอย่างลงตัว

หมูชาชูงานดีมากกกกกก หอม และนุ่มลิ้นละลายในปาก

ราคาก็อยู่ที่ถ้วยละ 950 เยนเท่านั้น

7 (8)

จ้ะเอ๋เอาเส้นออกมาโหน่ยยยยยย

7 (7)

เส้นหนาเหนียวนุ่มงานดีมากกกกก

7 (5)

อันนี้ของบรีสค่ะจะเป็นแบบเพิ่มต้นหอม ราคา 1050 เยน

7 (4)

หลังจากที่อิ่มกันจนพุงกางขอสารภาพเลยว่าไปทานร้านอื่นไม่ไหวแล้ว

เพราะท้องแน่นมากกกกกก

จาก Bannai Shokudō อิ้มก็เดินทางต่อไปยัง Museum Ramen

ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกันค่ะ

ภายใน Museum Ramen Kitakata

จะมีเรื่องเล่าและประวัติต่างๆ ของ Ramen Kitakata

อย่างมากมาย มีแนะนำด้วยว่าควรไปทานร้านไหน

มีสอนทำเส้น Ramen

และมีแพ็คเกจสำเร็จรูปให้เราซื้อหานำกลับไปเป็นของฝากได้

8 (1)8 (2)

อ้อๆๆๆๆ มีถ้วย Ramen ยักษ์เป็น sigmature

ให้เราถ่ายรูปเป็นที่ระลึกด้วยนะคะ

8 (3)

ตรงนี้จะเป็นการแนะนำเส้น Ramen ค่ะของ Kitakata

จะเป็นซ้ายมือสุดเส้นหยักๆ นั่นเอง

8 (4)

ด้านในมีศาสเจ้า Raman ด้วยนะคะ

8 (5)

อีกสิ่งหนึ่งที่ห้ามพลาดก็คือ ไอศกรีมค่ะ

ภายใน Museum มีไอศกรีม Ramen ขาย น่ารักและอร่อยมากๆ

โคนละ 350 เยนเท่านั้น มาเป็นเส้นกันเลยแถมมีตะเกียบให้ด้วย

9 (1)

กินละน๊าาาาา

9 (2)

มองดูนาฬิกาก็เย็นย่ำแล้วค่ะ เสียดายที่มีเวลาให้เมืองนี้น้อยไปหน่อย

คราวหน้ามาจะต้องมาจัดเต็มแน่นอนยังขาดอีกหลายร้านเลย ฮือๆ

ระหว่างทางเดินกลับอิ้มก็ถ่ายภาพบรรยากาศเมือง Kitakata ไปด้วย

Kitakata เป็นเมืองเล็กๆ ที่เงียบสงบ ไม่วุ่นวาย

เสียดายที่มีที่พักน้อยไปนิด ไม่อย่างนั้นเราคงได้นอนที่นี่สักคืน

10 (1)10 (2)10 (3)10 (4)

จาก Kitakata อิ้มนั่งรถไฟกลับมายัง Aizu-Wakamatsu ค่ะ

เพราะคืนนี้เราจะพัก Onsen ชื่อดังของเมือง Aizu-Wakamatsu

10 (5)

พอถึงสถานี Aizu-Wakamatsu อิ้มก็เอากระเป๋า

และนั่ง Aizu Loop Bus สาย Haikara-san คันสีเขียว

ค่ารถเที่ยวละ 210 เยน/คน/เที่ยว สำหรับผู้ใหญ่ และ 110 เยน/คน/เที่ยว สำหรับเด็ก

จริงๆ มาเที่ยวเมืองนี้ควรซื้อพาส

ซึ่งเดี๋ยว Day 4 อิ้มจะมาแนะนำต่อว่าอะไรยังไงนะคะ

คืนนี้อิ้มพักที่ Higashiyama Onsen หมู่บ้าน onsen ชื่อดัง

กับเรียวกังที่ชื่อยาวเหยียดว่า

Shosuke-no-yado Takinoyu

นั่งบัสมาลงที่ป้าย H28 รถจะจอดที่หน้าเรียวกังเลยค่ะ

อิ้มเสียดายหนักมากที่มาถึงช้าไป

เพราะ 5 โมงเย็นที่นี่ก็มืดแล้วไม่ได้ถ่ายทไวไลท์และบรรยากาศด้านนอกมาฝากเลยค่ะ

เอาเป็นว่า Day 4 ขอแก้ตัวนะคะ

Shosuke-no-yado Takinoyu อิ้มจองผ่าน Booking มาในราคา 28080 เยน

หรือเป็นเงินไทยประมาณ  8,208 บาท

หลายคนอาจจะมองว่าแพงแต่จริงๆ อิ้มว่าโอเคนะ

เพราะเป็นราคาสองคนและรวมอาหารเช้าและอาหารเย็น

อาหารเย็นก็เป็นแบบ Kaiseki (ไคเซกิ)

เรียกว่าดีงามทีเดียว

พอเรามาเช็กอินปุ๊ปเค้าก็จะเสิร์ฟชาเขียวแบบเข้มข้นญี่ปุ่นจ๋าๆ

มาให้เรา พร้อมขนมอร่อยมากๆ

11

จริงๆ ถ้าเรามาถึงเร็วส่วนที่นั่งรอเช็กอินจะเป็นวิวแบบนี้ค่ะ

(แอบเอาภาพช่วงกลางวันใน Day 4 มาให้ชมก่อน)

เป็นไงบ้างสวยงามมากเลยใช่ไหมคะ

_PSS2937

พอเรากรอกเอกสารเสร็จสรรพเค้าก็ให้กุญแจห้องค่ะ

ห้องนอนของอิ้มคืนนี้คือ 616 อยู่ที่ชั้น 6 ของรีสอร์ท

ภายในห้องค่ะ กว้างขวางน่านอนมาก

ภายในจะแบ่งเป็นสามส่วนค่ะ ด้านหน้าเป็นห้องน้ำ ส่วนกลางเป็นห้องนอน

และสุดท้ายเป็นห้องอาบน้ำค่ะ

12 (1)12 (2)

ห้องน้พแบ่งแยกโซนเป็นอย่างดี ส่วนขับถ่ายจะอยู่ด้านหน้าประตู

และส่วนอาบน้ำจะอยู่ในห้องนี้ค่ะ Amenity เยอะเวอร์วังอลังการเช่นเคย

12 (3)

ในห้องอาบน้ำ มีอ่างให้แช่ด้วยนะคะ ฟินขั้นสุดจริงๆ

13

ชมภาพรวมให้ห้องกันอีกสักภาพก่อนไปทาน Dinner ค่ะ

ในช่วงที่เราทาน Dinner เค้าจะมาปูที่นอนให้เราเสร็จสรรพเรียกว่าอิ่มปุ๊ป

แชาออนเซ็นเสร็จก็พร้อมนอนได้ทันที

12 (4)

มื้อ Dinner วันนี้ค่ะ เราทานแบบไคเซกิ

ซึ่งอาหารแต่ละอย่างถูกจัดไว้อย่างสวยงาม พิถีพิถัน

แต่ละอย่างน่าทานทั้งนั้น

บรรยากาศในห้องอาหารก็ดีมากทีเดียวเป็นห้องกระจกมองออกไปด้านนอก

บวกกับเสียงเพลงที่บรรเลงโดยใช้เครื่องดนตรีโบราณของญี่ปุ่น

ทำให้่จิตใจผ่อนคลาย ซึบซับกับบรรยากาสได้เต็มที่

ทานอาหารด้วยความเอร็ดอร่อย

ความรู้สึกตอนนั้นมันฟินอย่างบอกไม่ถูก

1415 (1)15 (2)15 (3)15 (4)

ตบท้ายด้วยของหวานแสนอร่อยค่ะ

15 (5)

สำหรับ Day 3 ก็เป็นอะไรที่เที่ยวง่ายมากๆ

เป็นวันที่ไม่ต้องรีบร้อนได้เดินเล่นชิลๆ ที่ Kitakata

พอตอนเย็นก็มาดื่มด่ำกับบรรยากาศ onsen ชั้นเลิศ

ที่  shosuke-no-yado takinoyu

เป็น Day 3 ที่อิ่มอกอิ่มใจมากๆ

เรียกว่านอนหลับฝันดี สบายใจ สบายกายเลยทีเดียว

อิ้มขอจบ Day 3 ไว้เพียงเท่านี้นะคะ

สำหรับ Day 4  อิ้มก็ไม่ได้ไปไหนไกล

ตะลุยเที่ยวใน Aizu-wakamatsu

ดินแดนแห่งซามูไร

รอตามกันต่อว่า Aizu-wakamatsu

มีอะไรน่าสนใจบ้าง

แล้วติดตาม ตะลุยฟุกุชิมะ : DAY 4 ของอิ้มได้ในรีวิวหน้านะคะ

ก่อนรีวิวนี้จะจบลง

ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจนมาถึงบรรทัดนี้

ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ขอบคุณทุกไลค์ ขอบคุณทุกแชร์

เป็นกำลังใจที่ดีในการทำรีวิวมากๆ

ถ้าชอบก็ฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยนะคะ

อัพเดทเรื่องกิน เช็กอินเรื่องเที่ยว ได้ที่นี่ psstory เรื่องราวดีๆในการเดินทาง

แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้านะคะ สวัสดีค่ะ

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s