หลงเสน่ห์ชุมพร

ประตูสู่ภาคใต้ สัมผัสวิถีชีวิตอันเรียบง่าย พักผ่อนสบายท่ามกลางธรรมชาติ

 @ ธูษิฏารีสอร์ท แอนด์ สปา

ในวันที่ทุกอย่างเป็นใจ หัวใจเริ่มถามหาการเดินทางอีกครั้ง ทริปนี้จึงเริ่มต้น การแบกเป้ครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งไหนๆ เพราะ psstory ได้มีโอกาสไปจังหวัดชุมพร จังหวัดที่เคยได้ยินแค่ชื่อ แต่ยังไม่เคยไปสัมผัส ลองชมรีวิวนี้ แล้วคุณจะรู้ว่า ชุมพร มีอะไรมากกว่าที่คุณคิด

ขอฝากอีกหนึ่งช่องทางในการร่วมพูดคุย แลกเปลี่ยนประสบการณ์การท่องเที่ยว

บ้านหลังเล็กๆอีกหนึ่งหลังของ  ps story ค่ะ
https://th-th.facebook.com/pspatchieestory

อุปกรณ์คู่ใจในทริปนี้ ก็จะใช้ Nikon D 5200 เช่นเคย แต่คราวนี้มีอีกหนึ่งตัวช่วยในการถ่ายรูป นั่นก็คือ Canon PowerShot SX700HS กล้องดิจิตอลพลังซูม 60 เท่า  แชร์ภาพด้วย Wifi และ NFC สะดวกสบายน้ำหนักพอเหมาะ  ถึงแม้เวลาถ่ายออกมาจะไม่เป๊ะเหมือนกล้องใหญ่ทั่วไป แต่ก็สามารถใช้แทนกล้องมือถือ แล้วอัพรูปผ่าน wifi เหมาะกับผู้ที่ชอบอัพเดทเรื่องราวต่างผ่านภาพถ่าย สู่โซเชียลอย่างรวดเร็ว ซึ่งประสิทธิภาพตรงนี้ถูกใจค่ะ สำหรับคนที่สนใจจะซื้อกล้องตัวเล็กๆไว้พกพาสักตัว ลองติดตามชมรีวิวนี้ไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก นะคะ เดี๋ยวตามไปชมภาพถ่ายจากกล้อง Canon PowerShot SX700HS  ในรีวิวนี้ได้เลย   ซึ่งจะเขียนลายน้ำไว้บนภาพไว้สำหรับ  Canon PowerShot SX700HS ตัวนี้ค่ะ

เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองในเวลาเช้าตรู่  ใช้เวลาไม่นานประมาณชั่วโมงเศษๆ เราก็ถึงชุมพร จากสนามบินชุมพร เราก็เริ่มลุยเดินทางต่อกัน จุดแรกที่มาชุมพรแล้วต้องมาให้ได้ก็คือ การแวะสักการะ “กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์”   ณ หายทรายรี เริ่มต้นทริปจะใช้ nikon D5200 อยู่นะคะ

ล.ร.อ.พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพร เขตรอุดมศักดิ์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่28 ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการทหารเรือจากประเทศอังกฤษ และเข้ารับราชการทหารเรือ ทรงเป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ และได้ปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรสำคัญสำหรับการเดินเรือให้ทัดเทียมกับนานาอารยะประเทศ จนได้รับการขนานนามว่า     “องค์บิดาแห่งกองทัพเรือ”                  หรือ “เสด็จเตี่ย” ของชาวเรือและประชาชนทั่วไปจนถึงทุกวันนี้

จากด้านบนได้ เป็นจุดที่มองเห็นทิวทัศน์ของหาดทรายรีได้ชัดเจนตลอดเวิ้งอ่าว สวยงามและเงียบสงบ

เต็มอิ่มจากจุดนี้แล้ว ได้เวลาเดินทางต่อกัน สถานีต่อไปในวันนี้เป็น สวนเกษตรแนวใหม่ที่สวนลุงนิล กันค่ะ มาถึงสวนลุงนิลกันแล้ว ก็แวะมาฝากท้องกับมื้อกลางวัน เป็นอาหารมื้อง่าย แต่อร่อย ที่สำคัญ วัตถุดิบต่างๆที่นำปรุงอาหาร เป็นวัตถุดิบจากสวนลุงนิลเองทั้งหมด น่าทึ่งใช่ไหมคะ เดี๋ยวขอตัวรองท้องสักครู่ แล้วจะมาเล่าเรื่องของลุงนิลให้ฟังกันค่ะ

จานแรก ใบเหลียงผัดไข่ อาหารที่ทานแทบทุกมื้อที่มาชุมพรครั้งนี้ แต่ไม่ทำให้เบื่อเลยค่ะ อร่อยมากๆ

น้ำพริกกะปิ กับผักสดตามฤดูกาล น้ำพริกกะปิ ที่นี่ อร่อยมากๆเลยค่ะ ใครมาสวนลุงนิลห้ามพลาดนะคะ

ตบท้ายด้วยผลไม้ถ้ามาถูกฤดู จะมีทุเรียนด้วย  ที่ทานมาทุกอย่างอยู่ในสวนของลุงนิลทั้งหมดเลยค่ะ

อิ่มท้องกันแล้วมาฟังเรื่องราวอันน่าสนใจของสวนลุงนิลกันนะคะ สวนลุงนิล” ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลช่องไม้แก้ว อำเภอทุ่งตะโก จังหวัดชุมพร โดยมีคุณลุงสมบูรณ์ ศรีสุบัติ หรือลุงนิล เป็นเจ้าของผู้ดำเนินกิจการและเป็นผู้ริเริ่มการทำสวนในแบบ “พืชคอนโด 9 ชั้น” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแนวความคิดและเป็นการทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ที่ประสบความสำเร็จ จนได้รับรางวัล  ครั้งนึงชีวิตของลุงนิล เคยตกอับสิ้นเนื้อประดาตัว จนเกือบฆ่าตัวตาย แต่ด้วยความบังเอิญ ได้ฟังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เรื่องหลักเศรษฐกิจพอเพียงและการทำเกษตรกรรมทฤษฎีใหม่ จึงทำให้คุณลุงนิลผู้นี้ คิดตาม และได้ริเริ่มปฏิบัติตามแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“พืชคอนโด 9 ชั้น”  นั่นคือการแบ่งต้นไม้ต่างๆ ออกเป็น 9 ระดับ ตามความสูงในการปลูกพืชเหล่านั้น โดยชั้นที่ 1 คือ การขุดบ่อเลี้ยงปลา พร้อมกับปลูกพืชน้ำอย่างผักกระเฉด ผักบุ้ง บัว ชั้นที่ 2 คือ การปลูกพืชคลุมดินจำพวกกลอย มันหอม และพืชตระกูลหัวทั้งหมด เช่น ขมิ้น กระชาย ชั้นที่ 3 ปลูกพืชหน้าดิน เช่น พริกและผักเหลียง ชั้นที่ 4 ปลูกส้มจี๊ด

ชั้นที่ 5 ปลูกกล้วยเล็บมือนาง ชั้นที่ 6 ปลูกไม้ยืนต้นทุเรียนพันธุ์หมอนทอง ชั้นที่ 7 ปลูกสะตอ มังคุด ลองกอง ต้นหมากปลูกไว้กินและจำหน่ายพรรณไม้ให้สมาชิก โดยทุกต้นจะปลูกพริกไทยดำกับแก้วมังกรให้เลื้อยขึ้นไปบนต้นเพื่อเป็นรายได้เสริมด้วย เป็นการใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า ชั้นที่ 8 เป็นส่วนของธนาคารต้นไม้ เป็นไม้ใช้สอยในระยะยาว เช่น ตะเคียน และชั้นที่ 9 ปลูกไม้ยางนา ตะแบกใหญ่ ประดู่ ไม้ใหญ่เป็นร่มเงาไม่ทำให้ร้อนจนเกินไป พืชทั้ง 9 ชั้นนี้อยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล บ้างให้ร่มเงาซึ่งกันและกัน บ้างเก็บน้ำและความชื้นให้กัน อยู่และเติบโตไปพร้อมๆ กัน

นอกจากนั้น ภายในสวนลุงนิล ยังมีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่างๆ ออกจำหน่ายอีกมากมาย ทำให้ลุงนิล ฟื้นฟูเศรษฐกิจภายในครอบครัวทำให้ชีวิตของลุงนิลกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง สวนลุงนิลแห่งนี้ยังสร้างรายได้จำนวนหลักล้านบาทให้กับลุงนิล พลิกชีวิตเลยก็ว่าได้ค่ะ  ซึ่งหากใครสนใจสามารถที่จะมาชมสวนลุงนิลได้ตลอดทั้งปีนะคะ ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม นายสมบูรณ์ ศรีสุบัติ (ลุงนิล) โทร. 0-8746-6059-6, 0-8791-4214-2

        ได้เวลาเดินทางไปรีสอร์ทของเราแล้ว เราใช้เวลา 3วัน 2คืน พักกายพักใจที่ธูษิฏารีสอร์ท แอนด์ สปา          ที่นี่เป็นรีสอร์ทขนาดย่อม ไม่ได้พื้นที่ใช้สอยมากมายอะไร เมื่อมาถึงรีสอร์ทสิ่งแรกที่สะดุดตา ก็เห็นจะเป็นรถคันนี้เลยค่ะ

เข้าไปเช็คอิน จิบ welcome drink ให้สดชื่น กับน้ำใบเตยกลิ่นหอมชื่นใจค่ะ

ชื่อ ธูษิฏา อาจจะฟังดูเรียกยาก แต่ที่จริงแล้ว เป็นชื่อที่มีความเพราะทีเดียว เพราะคำว่า ธูษิฏา มีที่มาจากคำว่าดุสิต แปลว่า สวรรค์ ชั้นที่ 4  ความหมายดีทีเดียวใช่ไหมคะ  ที่ ธูษิฏา รีสอร์ท แอนด์ สปา แห่งนี้ มีด้วยกัน 3 โซน จะเริ่มให้ชมตั้งแต่ในส่วนที่เราได้มีโอกาสเข้าพักก่อน ซึ่งส่วนนี้จะเรียกว่า Tusita Haven การตกแต่งมีหลากหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นอินเดีย หรืออังกฤษ แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความเป็นไทย ภายในโซนนี้มีวิลล่าทั้งหมด 17 หลัง วิลล่าที่เราเข้าพักวันนี้ ชื่อว่า วิมานวิลล่าค่ะ

ด้านในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไม้ มีโต๊ะทำงาน หลังคาสูงโปร่ง มีระเบียงด้านนอกนั่งรับลม

Welcome fruit เป็นกล้วยเล็บมือนาง

โซนของห้องน้ำถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี แยกส่วนแห้งและส่วนเปียกได้อย่างชัดเจน ด้านนอกจะเป็น rain shower พร้อม อ่างอาบน้ำ ที่ตั้งอยู่ ด้านนอก เป็นแบบ open air ค่ะ

ออกมาสำรวจบริเวณรอบๆ รีสอร์ทนี้กันค่ะ

โดยรอบของพื้นที่จะปลูกต้นไม้ ทำให้ภายในรีสอร์ท ร่มรื่น และเป็นธรรมชาติ

มีมุมให้นั่งพักผ่อนหลายจุด นาทีนี้รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ลมพัดเบาๆ เย็นสบาย อยากทิ้งตัว ณที่ตรงนี้

หันด้านซ้ายมือ ก็จะพบกับ main pool ขนาดกำลังพอดีค่ะ

ด้านหลังจะเป็นห้องฟิตเนส

มุมนี้เป็น อีกมุมที่ใช้เวลาพักผ่อนมากที่สุดค่ะ

ตามมาชมห้องพักอีกแบบกันนะคะ เรียกว่า Tusita Residence เป็น type ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีเพียงหลังเดียวเท่านั้น

ด้านในกว้างขวาง มีทั้งหมดสองชั้น ด้านบนเป็นห้องนอนใต้หลังคา มีห้องรับแขก

ส่วนด้านล่าง มีห้องนอน 2 ห้องนอน ถ้าจะมากับเพื่อนหรือครอบครัวใหญ่ แนะนำห้องนี้เลยค่ะ

เดี๋ยวพาไปชมส่วนที่สองของรีสอร์ท กันค่ะ ส่วนนี้เรียกว่า The Beach  ลืมบอกไปว่าโซน Haven จะไม่ติดหาด แต่ถ้าอยากพักริมทะเล แนะนำโซนนี้เลยค่ะ ในโซน The Beach  นี้ตกแต่งได้เรียบหรู เน้นโทนสีขาว ตามสไตล์ Modern Mediterranean

ภายในมีห้องพักทั้งหมด 5 ห้องด้วยกันค่ะ

อยากจะหยุดสายตาไว้แค่นี้เพื่อบันทึกภาพความทรงจำเบื้องหน้า เอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ฟ้า ทะเล และสายลม ทุกอย่างดูลงตัว ความเงียบสงบ ทำให้ได้ยินเพียงแต่เสียงคลื่นซัดสาดกระทบฝั่ง รู้สึกผ่อนคลายหัวใจเหลือเกิน วิวมุมนี้จากหน้าห้องพักที่เป็น pool villa ที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโซนนี้ค่ะ

มาชมในส่วนของห้องพักที่นี่กันนะคะ สวย และโรแมนติกมากๆ

เดินทางต่อไปที่ โซนสุดท้าย โซนนี้เป็น  117 @ Sea Luxury Home Stay ระหว่างทางจะผ่านจุดชมวิวบนเขาหัวถ่าน แวะเก็บความประทับใจก่อนนะคะ ที่เห็นไกลๆ จะเป็นหมู่บ้านชาวประมงค่ะ

หยิบกล้องคอมแพคตัวน้อยมาถ่ายเตรียมอัพรูปผ่าน Facebook Fanpage  ซูมซูมซูม พลังซูมใช้ได้เลยนะคะ

 ขับรถลัดเลาะภูเขา ไม่กี่อึดใจก็ถึง 117 @ Sea Luxury Home Stay  วิวที่อยู่เบื้องหน้า ทำเอาไม่อยาก     ละสายตาเชียวค่ะ

Home Stay  แห่งนี้มีเพียงสองห้องเท่านั้น ตกแต่งเรียบง่าย สบายๆ ชิลๆค่ะ

ภายในห้องนอน สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ขาดตกบกพร่อง

117 @ Sea Luxury Home Stay  แห่งนี้ น่ามาพักผ่อน คงเป็นเพราะด้วยความเรียบง่าย ตัว Home Stay  สร้างขึ้นให้ยื่นไปในทะเล บริเวณรอบข้างเป็นหมู่บ้านชาวประมง เราจะเห็นชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ของผู้คนที่นี่ค่ะ

การเดินทางในวันนี้ยังไม่หมดนะคะ เดี๋ยวเราจะไปชมวิถีชีวิตชาวประมงริมฝั่งแม่น้ำตะโกเป็นสถานีสุดท้ายของวันนี้ค่ะ การล่องเรือชมวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ทำให้เห็นถึงความเรียบง่ายสบายๆ ไม่ต้องเร่งรีบ ได้เวลาพกกล้องคอมแพ็คตัวน้อย มาใช้งานแล้วค่ะ ปกติถ้าเวลาต้องทำกิจกรรมทางน้ำ มักจะไม่ค่อยอยากถืออะไรเทอะทะ ได้ Canon PowerShot SX700 HS มาใช้งานพอดี เหมาะเลยค่ะ

ไม่ต้องปรับใช้งานอะไรมากมาย เปิดกล้องปุ๊ป ใช้โหมด Auto เลยค่า

ธรรมชาติ สองฝั่งข้างทาง ชวนให้หลงใหลได้ไม่น้อยเลยนะคะ

ข้อเสียของกล้องตัวนี้ ก็คือ เวลาแสง ไม่ได้ หรือเริ่มมืดครึ้ม ภาพจะเริ่มเบลอๆ  เอาไม่อยู่แล้ว จริงๆกล้องตัวนี้เหมาะกับการใช้งานง่ายๆ ทั่วไป แบบไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก ใช้แทนมือถือที่ถ่ายไม่สวย สามารถอัพรูปผ่านเฟสได้เลย ข้อนี้ดีและสะดวกเรื่องแบต ใช้งานได้เต็มวันค่ะ ได้เวลาเดินทางกลับรีสอร์ทกันแล้ว

ช่วงเย็นเกือบค่ำ เราใช้เวลาเดินชมรอบๆรีสอร์ท ก่อนจะทานอาหารเย็นกันค่ะ

ไฟทั้งหมด เริ่มเปิดส่องสว่างขึ้น แสงพระอาทิตย์ยามเย็นกำลังจะตกลง เป็นสัญญาณให้เราเตรียมตัวพักผ่อน แล้วเดินทางต่อในพรุ่งนี้เช้า

แน่นอนค่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ช่วงเย็นเราฝากท้องกันไว้ที่ ห้องอาหาร เมอร์รายา ( Murraya Restaurant ) มื้อค่ำยังเน้นอาหารพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อ อาหารที่นี่รสจัด มาก เผ็ด ถึงใจ คนที่ไม่ทานเผ็ดเลยอาจจะไม่ชอบ แต่สำหรับ psstory แล้ว ไม่ทานเผ็ดเหมือนกัน แต่ทำไมเวลาตักอาหารทาน มือก็ไม่ยอมหยุดตักสักที รู้สึกว่าอร่อยมาก เข้มข้น ถึงใจ แต่ใช่ว่าจะมีอาหารเผ็ดอย่างเดียวนะคะ อาหารธรรมดาก็อร่อยรสชาติดีไม่แพ้กันเลยค่ะ

ปิดท้ายมื้อค่ำวันนี้ ดับความเผ็ดร้อนด้วยกล้วยเล็บมือนางทอด เสิร์ฟ  พร้อมไอศกรีม วนิลา  หมดถ้วยนี้ขอตัวไปนอนเอาแรง เตรียมเดินทางต่อในวันพรุ่งนี้นะคะ

เริ่มต้นวันใหม่ เช้านี้ มาทานอาหารเช้า ที่ห้องอาหาร เมอร์รายา เช่นเคย มื้อเช้าจะเป็นบุตเฟ่ต์ ถึงไลน์อาหารจะไม่เยอะเท่าที่ควร แต่ก็มีทีเด็ด อยู่ค่ะ

ข้าวต้มปลาอินทรีย์ ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่ ไม่ต้องปรุงเพิ่ม ก็อร่อยค่ะ

ต่อเนื่องด้วย ไข่ แฮม เบคอน

เพิ่มพลัง อีกนิด ด้วยขนมปังปิ้ง และสลัดผักค่ะ

อิ่มท้องกันแล้วเตรียมตัวเดินทางกันต่อ กิจกรรมวันนี้ เราจะไปปล่อยเต่าทะเลและหอยมือเสือ การเดินทางครั้งนี้เรานั่งรถจากรีสอร์ท ไปถึงท่าเรือเพื่อออกเดินทางกับเรือสยาม คาตามารัน มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร ค่ะ พอขึ้นเรือมาแล้ว ระหว่างทางก็ยังมีวิถีชีวิต ของผู้คน ให้ชมอยู่อย่างต่อเนื่อง ชัตเตอร์กล้องสั่งการแบบไม่ทันตั้งตัว รู้อีกทีก็กดไปหลายใบเลยค่ะ

ระหว่างนั่งเรือ ก็มีงีบๆหลับไปบ้าง พอลืมตาอีกที ก็ตะลึงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า เป็นบ้านคนเฝ้ารังนกที่อยู่บริเวณเกาะแก่งต่างๆ เป็นภาพที่น่าทึ่ง เพราะไม่เคยเห็นที่ไหน สถานที่จริงสวยงามกว่าในภาพ มากมายเหลือเกินค่ะ เกาะส่วนมากในบริเวณนี้เป็นเกาะสัมปทานรังนก ซึ่งถ้าเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่ดีแน่ๆ ควรติดต่อ  บริษัทที่ให้บริการเรือทัวร์ จะดีกว่าค่ะ

นั่งเรืออีกไม่นานเราก็มาถึงเกาะลังกาจิว เป็นสถานีแรกที่เราจะลงไปปล่อยเต่าทะเล ทะเลที่นี่สวยงามมาก สัมผัสได้เลยว่าร่างกายต้องการสิ่งนี้ ไม่น่าเชื่อว่าทะเลในฝั่งอ่าวไทย สวยงามไม่แพ้ฝั่งอันดามัน ถึงแม้จะไม่สวยใสเท่า แต่เกาะลังกาจิวแห่งนี้ ช่างดูมีเสน่ห์ นี่สิคะ ที่เราต้องเรียกว่าทะเลไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก

จากตรงนี้เราต้องลงเรือนั่งสปีดโบ๊ทไปค่ะ

เข้ามาใกล้ๆ ยิ่งสวยงาม

ถึงแล้วค่ะ ลงไปเหยียบน้ำทะเล ให้หายคิดถึง น้ำใสแจ๋ว ตัดกับท้องฟ้าสีคราม

ระหว่างรอสมาชิกเดินทางมาครบ ขอเก็บภาพบรรยากาศ ของเกาะลังกาจิวแห่งนี้ก่อนนะคะ นอกจาก เกาะนี้จะขึ้นชื่อในด้านของความสวยงาม เกาะลังกาจิว แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของนกนางแอ่นที่มาทำรัง เอาไว้ เกาะนี้จึงเป็นอีกเกาะหนึ่งที่มีสัมปทานรังนกค่ะ

ได้เวลาปล่อยเต่าทะเล คืนกลับสู่ธรรมชาติแล้ว

เรามีเวลาไม่นาน จึงได้เวลาเดินต่อเพื่อทำกิจกรรมถัดไปค่ะ

ทิ้งความไว้เบื้องหลัง ถ้ามีโอกาส จะกลับมาอีกแน่นอนค่ะ

พักเติมพลังด้วยมื้อกลางวัน ให้ร่างกายอีกสักนิด ก่อนเตรียมตัวดำน้ำ

ชูชีพพร้อม คนก็พร้อมแล้วค่ะ

และแล้วก็มาถึงเกาะง่ามน้อย ซึ่งเราจะปล่อยหอยมือเสือ และดำน้ำชมปะการัง แนวปะการังที่นี่ยังสมบูรณ์และสวยงาม ฝูงปลาที่แหวกว่ายมากมาย โลกใต้ทะเลที่ชุมพรแห่งนี้ สร้างความประทับใจ และเป็นบันทึกการเดินทางที่แสนพิเศษอีกทริปหนึ่งก็ว่าได้ค่ะ

พี่สาวคนเก่ง ที่ลงไปปล่อยหอยมือเสือด้วยตัวเอง

ได้เวลาเดินทางกลับ กันแล้วค่ะ เวลาช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เหลือเวลาอีกวันกว่าๆ เท่านั้น เมื่อหันไปด้านหลัง ก็พบกับภาพๆนี้ “นี่คืออีกหนึ่งเสน่ห์ของชุมพรที่รอให้ใครอีกหลายคนได้มาค้นหา”

 ช่วงเย็นเรามีนัดกันที่ โซน Beach  มื้อเย็นวันนี้มีบุตเฟ่ต์อาหารทะเล นั่งริมหาด เปิดเพลงเคล้า เสียงคลื่น เป็นค่ำคืนที่แสนพิเศษจริงๆค่ะ

เช้านี้ตื่นมาวันสุดท้าย ที่ชุมพร วันนี้มีเมนูพิเศษ เป็นขนมจีน มีน้ำพริก และน้ำยาใต้ ผสมกันอร่อย แต่เสียดายผสมไม่ทัน ทานน้ำพริกไปอย่างเดียวเลยค่ะ

กิจกรรมก่อนการเดินทางกลับ เราจะไปล่องแพพะโต๊ะชมธรรมชาติที่ต้นน้ำของแม่น้ำหลังสวนกันค่ะ

ระหว่างสองข้างทางจะมีสวนผลไม้ และพันธุ์ไม้นาๆพันธุ์  เขียวชอุ่มตลอดสองเส้นทาง

การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ พวกเราทุกคนมีความสุขและได้รับความประทับใจและได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ  เป็นกิจกรรมที่ดีมากๆ ครั้งนี้เป็นการเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ที่สนุกสนาน เกินคาด  ขอบคุณรูปบนแพพะโต๊ะสวยๆจากเพจ https://th-th.facebook.com/MyLifeMyTravel) ด้วยนะคะ

ช่วงเที่ยงเรามาทานอาหารแบบพื้นบ้านกัน เริ่มต้นด้วยเมนูแรก ไข่ทอดใบตอง

ใบเหลียงผัดไข่

น้ำพริกกะปิ

ข้าวในกระบอกไม้ไผ่

(เมนูนี้โหดไป ข้ามนะคะ)

ต้มจืดเต้าหู้

แกงส้มหยวกกล้วยป่า

ปลาราดพริก

ทิ้งท้ายทริปนี้ไว้กับรูปเมี่ยงคำในตำนานนะคะ

สุดท้ายก่อนจะจากกันขอสรุปข้อดีข้อเสียของ ทริปนี้ กันค่ะ

ข้อดี

1 เป็นทริปที่สนุกสนาน และเป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่คนไทยควรได้มาสัมผัส

2 ในส่วนของรีสอร์ท ที่ tusita ดูแลรีสอร์ทได้เป็นอย่างดี ถึงแม้รีสอร์ทจะเปิดมานาน กาลเวลาไม่ได้ทำให้ที่นี่ทรุดโทรมลงไปได้เลยค่ะ

3 อาหารอร่อยทุกมื้อ

ข้อเสีย

1 ทริปอัดแน่นไปนิด อาจจะเหนื่อยล้ากับการเดินทาง ถ้าใครจะไปเที่ยวตามโปรแกรมนี้ ต้องฟิตร่างกายก่อนเดินทางสักนิดนะคะ

2 บริเวณรีสอร์ทช่วงหัวค่ำ มียุงเยอะไปสักนิดค่ะ

ขอขอบคุณ ธูษิฏา รีสอร์ทแอนด์สปา ที่จัดกิจกรรมดีๆแบบนี้ขึ้นมา สนุกสนานและประทับใจเป็นอย่างมาก เป็น 3 วัน 2 คืน ที่ยอดเยี่ยมจริงๆค่ะ

ราคาแต่ละสิ่งอย่างค่ะ

ราคา Tusita @ Sea หรือ 117 Luxury Home Stay ค่ะ พัก 1 ห้องคิด 2,500 บาท

 แต่ถ้าพัก 2 ห้อง คิดถูกลงราคาจะเหลือแค่ 4,000 บาท ค่ะ

ราคาล่องแพคิดคนละ 500 บาท รวมอาหารกลางวัน

แต่ต้องจองล่วงหน้าอย่างช้าที่สุด 1 วัน แต่ถ้าจองปุ๊บไปปั๊บคิดราคาเหมา 1,200 บาท (จำนวน สูงสุด 5 คน) และจะมีเสิร์ฟเฉพาะเมี่ยงคำค่ะ

ค่าดำน้ำราคาปกติท่านละ 1,250 บาท ค่ะ

สนใจสอบถามเพิ่มเติม https://www.facebook.com/TusitaResortSpa

ก่อนรีวิวนี้จะจบลง ขอขอบคุณ tusita resort และ ททท. จังหวัดชุมพร ที่ร่วมกันจัดกิจกรรมดีๆแบบนี้ขึ้นมา และ ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจนมาถึงบรรทัดนี้  ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ขอบคุณทุกไลค์ ขอบคุณทุกแชร์ เป็นกำลังใจที่ดีในการทำรีวิวมากเลยค่ะ  ถ้าชอบก็ฝากกดไลค์กดแชร์ด้วยค่ะ พบกันใหม่ในรีวิวหน้า สวัสดีค่ะ