สวัสดีค่ะ พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่าน วันนี้ psstory จะนำเสนอทริปเล็กๆ เป็น
ทริปใกล้กรุง และที่ที่จะพาไปวันนี้ คือ จังหวัดสมุทรปราการนั่นเองค่ะ
“ป้อมยุทธนาวี พระเจดีย์กลางน้ำ ฟาร์มจระเข้ใหญ่ งามวิไลเมืองโบราณ สงกรานต์พระประแดง ปลาสลิดแห้งรสดี ประเพณีรับบัว ครบถ้วนทั่วอุตสาหกรรม” คำขวัญประจำจังหวัด ซึ่งบ่งบอกได้ถึงเรื่องราวมากมาย ที่ซ่อนอยู่ในจังหวัดแห่งนี้ ซึ่ง ps story จะมาชวนไปชมอีกเสี้ยวหนึ่งของคำขวัญ ซึ่งสมุทรปราการแห่งนี้ มีป้อมปราการที่สำคัญยิ่งในการปกป้องอธิปไตย ได้แก่ ป้อมพระจุลจอมเกล้า ป้อมปืนเสือหมอบ ป้อมแผลงไฟฟ้า และตกเย็น psstoryจะแวะทานอาหารทะเลสดๆ บรรยากาศดีสุดๆ จะเป็นอย่างไร เกาะล้อตามมาเที่ยวด้วยกันเลยค่ะ
ก่อนอื่นมาดูแผนที่การเดินทางก่อนนะคะ
จุดมุ่งหมายแรกในวันนี้ ก็จะเป็น ป้อมพระจุลจอมเกล้าก่อน โดยป้อมพระจุลจอมเกล้า ตั้งอยู่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ต.แหลมฟ้าผ่า อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ เส้นทาง หากไปทางด่วนข้ามสะพานพระราม ๙ แล้ว ชิดซ้ายลงตามป้ายที่บอกว่า “สุขสวัสดิ์” ลงสู่ถนนสุขสวัสดิ์ เส้นทางไปตามถนนสุขสวัสดิ์ สู่ป้อมพระจุล ฯ เมื่อลงจากทางด่วน เข้าสู่ถนนสุขสวัสดิ์ ก็จะวิ่งลอดใต้สะพานวงแหวนอุตสาหกรรม ผ่านสามแยกพระประแดง (ไปตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง) ไปพระสมุทรเจดีย์ (ก่อนถึง ๑ กม. มีหอนาฬิกา) หรือ หากเลี้ยวขวาที่หอนาฬิกาก็จะไปยังตัวอำเภอพระสมุทรเจดีย์ หากไม่เลี้ยวไปอำเภอ (ซึ่งจะเลยไปยังบ้านสาขลา) ตรงต่อไปรวมแล้วตั้งแต่ลงจากสะพานพระราม ๙ ประมาณ ๑๙ กม. ก็จะเข้าสู่เขตทหารเรือ แล้วเลี้ยวซ้ายวิ่งไปอีกประมาณ ๑๙ กม. จะถึงประตูทางเข้าเขตทหารเรือ การผ่านเข้าเขตทหารไม่ต้องขออนุญาต ป้อมพระจุลจอมเกล้า เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลาประมาณ 08.00-18.00 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชมนะคะ แต่ทหารจะขอแลกบัตรประชาชน ไว้เพื่อความปลอดภัย จากนั้นก็วิ่งตรงไปสุดทางแล้ว เลี้ยวซ้ายวิ่งตรงต่อไปเรื่อย ๆ จนพบกรมอีเลคทรอนิค ก็เลี้ยวขวาตรงสี่แยกกรมนี้ จะมองเห็นพระราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ ๕ เมื่อเข้าไปถึงยังราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแล้ว สามารถจอดรถที่ริมถนนหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ ฯ ได้เลย การเดินทางนั้นไม่ยาก เพราะมีป้ายบอกทางชัดเจนไม่หลงแน่นอนค่ะ
เดินทางมาถึงจอดรถเสร็จสรรพ ก็จะพบกับ ศาลพระนเรศ – นารายณ์ ขอแวะสักการะ สักครู่นะคะ
เดินมาด้านหลัง เราจะเห็น พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้มีความสง่างามยิ่ง โดยทรงฉลองพระองค์ในชุดจอมทัพเรือ พระหัตถ์ถือกระบี่ นอกจากนี้ภูมิทัศน์โดยรอบยังแวดล้อมไปด้วยแมกไม้นานาชนิดดูร่มรื่น ใต้ฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงประวัติความเป็นมาของป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ และเหตุการณ์ในสมัย ร.ศ. 122 หรือ (พ.ศ. 2436)
ประวัติของป้อมพระจุลจอมเกล้า ป้อมพระจุลจอมเกล้า เป็นป้อมปราการทางน้ำที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2427 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อป้องกันการรุกรานจากอังกฤษและฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่ตำบลแหลมฟ้าผ่า อำเภอพระสมุทรเจดีย์ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นที่ตั้งที่เหมาะสม หากมีเรือรบของข้าศึกบุกเข้ามาทางปากน้ำ ป้อมแห่งนี้สร้างเป็นป้อมปืนใหญ่แบบตะวันตก และได้ติดตั้งปืนใหญ่อาร์มสตรอง 155 มม. จำนวน 7 กระบอกเป็นอาวุธหลักของป้อม ทำให้ป้อมแห่งนี้เป็นป้อมปราการที่ทันสมัยมากที่สุดของประเทศสยามในเวลานั้น
ป้อมพระจุลจอมเกล้าได้ใช้เป็นที่ยิงต่อสู้กับเรือรบฝรั่งเศสในวิกฤติการณ์ ร.ศ. 112 โดยมีพลเรือตรี พระยาชลยุทธโยธินทร์ เป็นผู้บัญชาการรบ
ปัจจุบันป้อมพระจุลจอมเกล้าขึ้นตรงกับฐานทัพเรือกรุงเทพ และได้ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ พ.ศ. 2536 เพื่อเป็นราชานุสรณ์และรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย และกองทัพเรือได้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้ประชาชนเข้าชมเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกหน้าหนึ่งของไทย ป้อมพระจุลจอมเกล้าจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรปราการ
เดี๋ยวเราไปสำรวจด้านในกันเลยดีกว่าค่ะ แต่ละป้อมที่อยู่ติดต่อกันไปนี้ จะเดินถึงกันหมด ตั้งแต่ป้อมพระจุลจอมเกล้า ไปถึงป้อมปืนเสือหมอบ
ป้อมปืนเสือหมอบ เป็นปืนขนาดใหญ่ ทั้งหมดจะตั้งอยู่บริเวณ ด้านหลังของพระบรมราชานุสาวรีย์ ฯ เดินไปสัก ๓๐ เมตร ก็จะเข้าประตูทางเข้าสู่ป้อมปืน ซึ่งทางเดินจะเป็นเหมือนลักษณะอุโมงค์ เพดานสูงประมาณ ๒ เมตร ภายในอุโมงค์จะแบ่งออกเป็นห้องพักของพลประจำปืน ห้องคลังดินปืน (กระสุนแบบแยกบรรจุ) ห้องคลังลูกปืน ภายในห้องอากาศเย็น ไม่ร้อน ส่วนตัวปืนนั้นอยู่ ณ ที่ตั้งยิงที่อยู่สูงขึ้นไปอีกเล็กน้อย มีด้วยกันทั้งหมด ๗ กระบอก แต่ถ่ายรูปมาไม่ครบ พอดูกันคร่าวๆนะคะ
ป้อมปืนเสือหมอบ เป็นปืนประจำป้อมพระจุลจอมเกล้า มีลักษณะเป็นปืนหลุม ๗ หลุม ปืนแต่ละกระบอกมีขนาด ๑๕๒/๓๒ มิลลิเมตร ความกว้างปากกระบอก ๑๕๒ มิลลิเมตร ลำกล้องยาว ๔.๘๖๔ เมตร หรือ ๓๒ เท่าของส่วนกว้างปากกระบอกหนัก ๕ ตัน และมีระยะยิงไกลสุด ๘.๐๔๖ เมตร โดยปืนมีสมรรถนะสูงทั้ง ๗ กระบอกนี้ได้สั่งมาจากบริษัท เซอร์ดับบลิวจีอาร์มสตรอง จำกัด ประเทศอังกฤษ ถือเป็นปืนใหญ่บรรทุกท้ายรุ่นแรกที่มีใช้ในกองทัพเรือ
ปืนเสือหมอบเป็นปืนขนาดใหญ่ พลประจำปืนมี ๗ คน พลกระสุนอีก ๓ คน ที่เรียกว่าเสือหมอบ เพราะปกติปืนจะอยู่ต่ำกว่าขอบที่ตั้งยิง เมื่อทำการยิงปืนจะยกตัวสูงขึ้น ด้วยการใช้อากาศและน้ำมันอัด เมื่อยิงแล้วก็จะลดลำกล้องต่ำลงมา สร้างโดยบริษัทเซอร์ดับบลิวอารม์สตรอง ประเทศอังกฤษ ต้องถือว่าเป็นปืนที่ทันสมัยอย่างยิ่ง ในสมัยนั้นค่ะ
เสร็จจาก ป้อมปืนเสือหมอบ กันแล้ว จะพาไปชม เรือหลวงแม่กลองกันต่อ จากป้อมปืนเสือหมอบ เดินออกไปไม่ไกล ก็จะถึงเรือหลวงแม่กลองค่ะ วันนี้อากาศแจ่มใส ฟ้าเปิด เป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะก่อนจะเดินทางไปเที่ยวฝนตกอยู่หลายวัน โชคดีมากที่วันนี้ อากาศดี ท้องฟ้าสดใส
เรือหลวงแม่กลอง แม่กลองเป็นเรือรบที่ประจำการนานที่สุดในกองทัพเรือไทยมีประวัติการ ใช้งานเป็นเวลานานเกือบ 60 ปี ( ปี พ.ศ.2480-2539 ) เริ่มวางกระดูกงูเป็นครั้งแรกเมื่อ 24 ก.ค. 2479และทำพิธีปล่อยเรือลงน้ำเมื่อ 27 พ.ย. ปีเดียวกัน
ต่อมาจึงทำพิธีขึ้นประจำการเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2480 และรับใช้ชาติต่อมาเป็นเวลายาวนานถึง 59 ปีจึงปลดระวางประจำการในวันที่
25 ก.ค. 2539 และได้รับการอนุรักษ์เป็นพิพิธภัณฑ์ ร.ล.แม่กลองต่อไป
ร.ล.แม่กลองเป็นเรือรบลำแรกของกองทัพเรือไทยที่สามารถนำอากาศยานไปด้วยได้ ซึ่งสร้างความภาคภูมิให้กับกองทัพเรือไทยเป็น
อันมาก ในยุคที่ชาติอื่นในภูมิภาคนี้ยังเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก
บริเวณด้านหัวเรือค่ะ
เรือหลวงแม่กลอง เป็นเรือที่ได้รับพระราชทานนามเรือตามชื่อแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งเป็นแม่น้ำสำคัญของจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างสูง แก่ชาวจังหวัดสมุทรสงคราม บรรดาข้าราชการพ่อค้า และประชาชนได้จัดพิธีฉลอง และเยี่ยมชมเรือ ในระหว่างวันที่ 3 – 6 กุมภาพันธ์ 2480 เรือหลวงแม่กลอง เป็นเรือรบที่ขึ้นระวางประจำการรับใช้ประเทศชาติ ในการป้องกันอาณาเขตทางทะเล อย่างเข้มแข็งมาตลอดระยะเวลา 58 ปี ซึ่งเป็นเรือรบที่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ทั้งทางการยุทธและเรือฝึกคือเป็นเรือครู ให้แก่นายทหารสัญญาบัตรที่จบการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ รวมทั้งนายทหารประทวนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนชุมพลทหารเรือ โดยฝึกให้ความรู้ความชำนาญแก่นักเรียนทางด้านภาคปฏิบัติเป็นอย่างดีในด้านวิชาการเรือ การเดินเรือ การอาวุธและยุทธวิธีต่าง ๆ ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานให้กับนักเรียน ภายหลังที่ได้สอบผ่านวิชาความรู้ทางด้านทฤษฎีมาแล้วจากโรงเรียน หากนักเรียนผู้ใดได้สอบผ่านทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฎิบัติ จะถือว่านักเรียนผู้นั้นสอบได้อย่างสมบูรณ์สามารถเลื่อนชั้นเรียนไปเรียนในชั้นสูง ๆ ได้ต่อไป จนสำเร็จการศึกษาออกเข้ารับราชการตามหน่วยต่าง ๆ ในกองทัพเรือ นอกจากนั้นยังเปรียบเสมือนเป็นทูตสันถวไมตรีที่เป็นตัวแทนของคนไทยไปเยี่ยมเยือนนานาประเทศในทั่วภูมิภาคเอเชีย เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างไทยกับชาวต่างประเทศด้วยค่ะ
นอกจากนั้น เรือหลวงแม่กลองมีประวัติการใช้ราชการยาวนาน เคยจัดถวายเป็นเรือพระที่นั่ง ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลายครั้ง อาทิเช่น คราวเสด็จพระราชดำเนิน ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อ 13 มกราคม 2481 หรือในคราวเสด็จนิวัติพระนครเมื่อ 2 ธันวาคม 2494 และในการเสด็จพระราชดำเนิน ตรวจพลสวนสนามทางเรือ และทอดพระเนตร การยกพลขึ้นบก ณ หาดบางแสน จังหวัดชลบุรี ใน 20 พฤศจิกายน 2497 นอกจากนี้เคยจัดเป็นเรืออัญเชิญพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
มายังท่าราชวรดิฐ เมื่อ 20 พฤษภาคม 2492 ส่วนบริเวณด้านท้ายเรือจะมีธงไตรรงค์โบกสบัดพริ้วไหวตามแรงลม เรียกได้ว่า เรือหลวงแม่กลองแห่งนี้ มีประวัติมาอย่างยาวนานมากเลยทีเดียวนะคะ
เมื่อขึ้นสู่บนเรือหลวง จะมีลูกศรกำหนดทางเดิน เราควรเดินตามลูกศรไปเรื่อยๆนะคะ
บนเรือหลวงแม่กลอง ด้านบนจะประกอบไปด้วยห้องเรียนต่างๆ ห้องครัว ห้องพยาบาล ห้องนอน ฯลฯ เดี๋ยวจะพาไปชม วิวที่ถ่ายจากบนชั้นที่สองของเรือรบหลวงแม่กลอง มาให้ชมกันค่ะ
เวลาเริ่มใกล้จะหมดวัน ได้เวลาอันสมควร..เราก็ต้องขออำลาป้อมพระจุลกันแล้วเตรียมตัวเดินทางกันต่อนะคะ
สถานีต่อไป ป้อมแผลงไฟฟ้า ค่ะ เดี๋ยวเราต้องขับรถ ย้อนกลับไป สักนิด นะคะ สาเหตุที่เลือกมาป้อมพระจุลก่อน เพราะช่วงเย็นเราตั้งใจจะไปทานอาหารเย็น โดยต้องขึ้นเรือขนานยนต์ ไปอีกฝั่ง แต่ตอนนี้เดี๋ยวมาเข้าเรื่องกันต่อนะคะ
การเดินทางไปป้อมแผลงไฟฟ้าแห่งนี้ สังเกตตั้งอยู่ที่ตำบลตลาด ติดกับโรงเรียนเทศบาลพระประแดง เส้นทางอาจจะยุ่งยากสักหน่อย เพราะว่าไม่มีป้ายบอกทาง แต่สามารถสอบถามเส้นทางได้จากผู้คนแถวนั้น ผู้คนที่สมุทรปราการน่ารักมากค่ะ พอจอดถามทาง ก็บอกละเอียดแบบเข้าใจง่าย ประทับใจมากเลยค่ะ
ป้อมแผลงไฟฟ้า ในปัจจุบัน มีสภาพสมบูรณ์เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น เป็นป้อมปราการแห่งหนึ่งของ ฐานทัพเมืองนครเขื่อนขันธ์ เป็นเสมือนหนึ่งฐานทัพด้านปากแม่น้ำเจ้าพระยา และเป็นเมืองที่มีป้อมปราการหลายแห่ง เนื่องด้วย พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) มีพระราชดำริที่จะใช้ป้องกันพระราชอาณาจักร
ป้อมแผลงไฟฟ้า มีกำแพงล้อมรอบตัวป้อมทั้ง ๔ ด้าน คือ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ด้านทิศใต้ มีกำแพง ๒ ชั้น ถมดินอัดแน่นระหว่างชั้นนอกและชั้นใน ประตูทางเข้าอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ มีบันไดทางขึ้นไปบนซุ้มประตูด้านในทั้ง ๒ ด้าน มีแนวกำแพงป้อมทั้งด้านขวาและด้านซ้าย ด้านในกำแพงมีบันไดทางขึ้นไปบนกำแพงทางขวามือ เมื่อเดินถึงกำแพงชั้นในจะมีบันไดทางขึ้นไปบนกำแพงชั้นในที่มีดินถมอันแน่นระหว่างกำแพงป้อมชั้นนอกและชั้นในทอดตัวไปทางทิศใต้ ด้านซ้ายมือ เดินถึงกำแพงชั้นในแต่ไม่มีบันไดทางขึ้นไปบนกำแพง มีบันไดทางขึ้นไปบนกำแพงด้านทิศเหนือแต่ไม่มีทางลงนะคะ
ปี พ.ศ.๒๔๓๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซ่อมแซมป้อมแผลงไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ และในปี พ.ศ.๒๕๑๔ เทศบาลเมืองพระประแดงได้ตกแต่งซ่อมแซมให้เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน
ปัจจุบันเทศบาลเมืองพระประแดงได้ทำการบูรณะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน โดยบริเวณข้างบนของป้อมได้จัดปืนใหญ่โบราณหลายกระบอกตั้งไว้ให้ชมรอบๆ บริเวณจัดปลูกต้นไม้ร่มรื่น
แต่ยังค่อนข้างรกร้างไปสักนิด สำหรับการไปนั่งพักผ่อน นะคะ
หลังจากนั้นฟ้าฝนก็เริ่มไม่เป็นใจ เดี๋ยวเรารีบเดินทางไปทานข้าวเย็นกันต่อดีกว่า จากป้อมแผลงไฟฟ้า เราจะนั่งแพขนานยนต์ พระประแดง ราคาข้าม 25 บาทเพื่อไปที่ร้านอาหาร ร้านที่เราเลือกไปทานวันนี้ ชื่อว่า ร้านระเบียงทะเล มาชมแผนที่และการเดินทางกันอีกสักนิดนะคะ
ร้านระเบียงทะเล ตั้งอยู่ที่ ซอยเทศบาลบางปู 72 เป็นร้านที่บรรยากาศดี
และขึ้นชื่อมาก ในย่านบางปู ภายในร้านไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป ตัวร้านเป็นบ้านไม้สีขาวสองชั้น แต่ถ้าด้านล่างยังไม่เต็ม ด้านบนจะยังไม่เปิดบริการ จริงถ้าตรงเข้ามาในซอยเทศบาลบางปู 72 สุดซอยจะมีร้านอาหารถึง 3 ร้านด้วยกัน แต่วันนี้ที่เลือกร้านระเบียงทะเล เพราะเห็นว่ามีโปรโมชั่น ปู ทุกเมนู 359 บาท เลยไม่ลังเลขับตรงเข้าไปเลยจ้า ร้านระเบียงทะเล เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-23.00 น. ใครขับรถมาก็สามารถจอดรถบริเวณหน้าร้านได้เลยค่ะ
เลือกที่นั่งได้แล้ว ก็สั่งอาหารกันเลยอย่างไม่รอช้า หลังจากตะลุยมาทั้งวัน
ราคาอาหาร ถือว่ารวมๆแล้วใช้ได้ แต่ก็อาจจะมีบางอย่างแพงไป แต่บางอย่างก็ถูก จึงเฉลี่ยเท่าๆกันได้จ้า มาเริ่มที่เมนูแรกกันเลย “น้ำพริกไข่ปู” รสชาติ อร่อย เปรี้ยว เผ็ดกำลังดี
ผักแกล้มสดสะอาด ถ้วยนี้ผ่านจ้า
จานต่อมาเป็นเมนูปกติทั่วไป “หมึกไข่นึ่งมะนาว” จะบอกว่า ไม่มีไข่เลยค่ะ แต่รสชาติถือว่าพอให้อภัยกันได้
“หอยนางรมทรงเครื่อง” อันนี้ไม่ต้องปรุงแต่งมากนัก หอยสด อร่อย แต่ขอตินิดนึงถึงเคียงอย่าง หอมเจียวค่ะ หอมเจียวเย็นชืดเกินไป เริ่มเหนียว น้ำจิ้มยังไม่แซ่บเท่าที่ควร
ต่อมายังเป็นเมนูหอยค่ะ “หอยเชลล์นึ่งกระเทียม” จานนี้ต้องขอชมค่ะ หรือเป็นเพราะส่วนตัวเป็นคนชอบทานกระเทียมมาก ทางร้านใส่กระเทียมเยอะ หอมมากๆ จานนี้อร่อยค่ะ
มาถึงไฮไลท์กันแล้วค่ะ ที่เค้าบอกว่าปู 359 ทุกเมนู อ๊ะ ขอสอบถามให้แน่ใจสักนิดว่าอะไรยังไง แล้วก็ได้คำตอบมาว่า 359 คือปู 1 ตัว ซึ่งสามารถนำมาปรุงอาหารอะไรก็ได้ เราเลือก 2 ตัว ทำสองอย่าง ตัวแรกเป็น
“ปูผัดซอสไข่” หน้าตาสวยงาม ลองชิมแล้ว รสชาติเด็ดไม่เหมือนใคร ปูสดๆ ผัดซอสไข่ หอมมัน อร่อยมากๆ
จานสุดท้าย “ปูผัดซอสมะนาว” จะบอกว่า จานนี้รสเด็ดโดนใจมากๆ เพราะด้วยความสดของปู บวกกับซอสมะนาวเข้มข้น เปรี้ยวนำ เผ็ดตามเบาๆ หอมเครื่องเทศแบบสุดๆ รสชาติ อร่อย แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร ถูกใจมากๆเลยค่ะ
อิ่มท้องกับของคาวกันแล้วมาต่อที่ของหวานกันค่ะ มีทั้งผลไม้ ไอศกรีม เห็นเมนูแล้วน่าทานมาก ชื่อเมนูว่า แฮมเบอร์เกอร์ วาฟเฟิล ไอศกรีม ปรากฎว่าพอสั่งมา ไม่เหมือนในรูปอ่ะค่ะ เศร้าเลย รสชาติก็เหมือนวาฟเฟิล ใส่ไอศกรีม ช็อกโกแลต ประมาณนั้นเลย แถมตอนมาเสิร์ฟ ละลายไปเยอะแล้ว แอบเศร้านิดๆกับเมนูของหวานค่ะ
พระอาทิตย์ตกแล้วค่ะ นึกว่าวันนี้จะไม่ได้เจอกันแล้ว เพราะระหว่างทางที่มาฝนเทลงมาอย่างหนัก
เห็นแค่นี้ก็ดีใจแล้วค่ะ
อิ่มท้องกันแล้ว ก็เตรียมตัวเดินทางกลับ มื้อนี้ไปกันสามคน ราคาอยู่ที่ประมาณ 1900 บาทจ้า ร้านระเบียงทะเลแห่งนี้ บรรยากาศดีสมคำร่ำลือ อาหารรสชาติโดยรวมถือว่าดีค่ะ ที่น่าประทับใจก็คือเรื่องบริการ และอาหารเสิร์ฟเร็วมาก ขออนุญาต ทิ้งท้ายรีวิวนี้ไว้กับรูปบรรยากาศร้านนะคะ
ก่อนรีวิวนี้จะจบลง ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามจนมาถึงบรรทัดนี้ ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ ขอบคุณทุกไลค์ ขอบคุณทุกแชร์ เป็นกำลังใจที่ดีในการทำรีวิวมากเลยค่ะ
แล้วพบกันใหม่สำหรับรีวิวหน้า ของ ps story ขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง สวัสดีค่า
ตามมาเที่ยวด้วยครับ ฟ้าใสเชียว
ถูกใจถูกใจ
ขอบคุณพี่อินที่แวะเที่ยวด้วยกันนะคะ 😀
ถูกใจถูกใจ